วันนี้ (8 เมษายน) พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาแก้ไขปัญหากำแพงภาษีกับสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วย พิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และ วุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกันแถลงข่าวหลังการประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรี
พิชัยระบุว่า เรื่องกำแพงภาษีของสหรัฐฯ รัฐบาลได้ติดตามมาอย่างต่อเนื่องหลายเดือน และได้มีการเตรียมการไว้แล้วเบื้องต้น และเห็นถึงปัญหาที่แท้จริงของสหรัฐฯ คือต้องการแก้ไขปัญหาเสียดุลการค้า ดึงฐานการผลิตกลับเข้าสหรัฐฯ
ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำต่อจากนี้คือ พิจารณาว่าจะทำอย่างไรในการแก้ไขปัญหาภาษีที่ประเทศไทยจะต้องได้รับประโยชน์ และขอให้มั่นใจว่าวิธีการแก้ไขปัญหานี้จะเป็นผลดีของทั้งสองฝ่าย เป็นการแก้ไขปัญหาที่ยกระดับการทำงานและการผลิตของไทย ยอมรับแม้ว่าจะเป็นวิกฤติที่น่าหนักใจ แต่ก็ถือว่ายังมีโอกาสในการยกระดับการค้าของไทยให้สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อาหารสัตว์
พิชัยระบุว่ามีรายละเอียดที่จะดำเนินการอีกมาก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้ทำรายละเอียดเพื่อเสนอให้คณะทำงานและคณะรัฐมนตรีพิจารณา นำไปสู่การเจรจาในระดับผู้แทนการค้าของทั้งสองประเทศ
ส่วนตนเองจะดูแลภาพรวมตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำว่าจะต้องไม่ยอม ไทยจะต้องได้รับผลประโยชน์สูงสุด และดำเนินการภายใต้จุดแข็งที่ประเทศไทยมี
พิชัยยอมรับว่าแม้เป็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไขแต่จะไม่ดำเนินการทันที เพราะต้องวางแผน และมีแนวทางการทำงานที่รอบคอบ รวมถึงให้เกิดผลสำเร็จมากที่สุด ส่วนจะเดินทางไปเมื่อไรยังไม่สามารถตอบได้ แต่ตอนนี้ทางสหรัฐฯ รับรู้แล้วว่ารัฐบาลไทยกำลังเร่งดำเนินการ เพื่อให้ทั้งสองประเทศ ได้ประโยชน์ร่วมกัน
พิชัยระบุอีกว่า เข้าใจว่าสหรัฐฯ ต้องการอะไร ดังนั้นจะต้องปรับและหาแนวทางการแก้ไข ซึ่งมีหลากหลายแนวทาง ดังนั้นในช่วง10 ปี ต่อจากนี้จะต้องหาแนวทางให้ได้ว่าจะทำอย่างไร เพื่อให้เกิดสมดุลทางการค้าระหว่างสองฝ่าย เช่นเดียวกับเอกชนที่จะไปลงทุนในสหรัฐฯ จะต้องเป็นบริษัทที่มีศักยภาพและสามารถสร้างดุลการค้าได้อย่างมั่นคง
พิชัยยอมรับว่าด้วยเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ตั้งขึ้น ทั่วโลกได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ อย่างหนัก ดังนั้นจึงต้องมีการสร้างสมดุลทางการค้าทั้งโลก
ส่วนจะมีการจับมือกันในประเทศกลุ่มอาเซียนไปเจรจากับสหรัฐฯ หรือไม่นั้น พิชัยระบุว่า แต่ละประเทศก็มีจุดแข็งหรือจุดอ่อนที่แตกต่างกัน หรืออาจจะเหมือนกัน จะไปเจรจาหรือพูดคุยพร้อมกันไม่ได้
ทั้งนี้ ยังไม่ได้ได้รับรายงานเรื่องสินค้าไทยในสหรัฐฯ ปรับราคาสูงขึ้นมากน้อยแค่ไหน แต่มีรายงานว่า เริ่มมีการกักตุนสินค้าหลายประเภทหลังจากได้รับสัญญา เรื่องการปรับภาษีนำเข้า
เมื่อถามว่า ประชาชนจะสามารถพึ่งรัฐบาลชุดนี้ได้หรือไม่ พิชัยย้ำว่า หากไม่พึ่งรัฐบาลแล้วจะไปพึ่งใคร