กระแสของการกลับมาเปิดเมือง (Reopening) ของแต่ละประเทศ เป็นสิ่งที่หลายคนจับตามองและให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด เดิมทีหลายคนมองว่าช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ สถานการณ์ของแต่ละประเทศน่าจะค่อยๆ ดีขึ้น และการกลับมาเปิดเมืองจะเห็นได้ชัดเจนมาขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการกระจายวัคซีนที่มากขึ้นทั่วโลก แต่ล่าสุดจะเห็นว่าการแพร่ระบาดของโควิดในหลายประเทศยังไม่ดีขึ้นเท่าไรนัก รวมถึงในประเทศไทยที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อกลับพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในมุมของการลงทุน หุ้นธีม Reopening เป็นกลุ่มที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเริ่มกลับมาโดดเด่นได้เช่นกัน แต่ด้วยการแพร่ระบาดที่ยังไม่ลดลง ทำให้หุ้นเหล่านี้กลับมาถูกกดดันอีกครั้ง
นักวิเคราะห์คาด หุ้น Reopening จะยังไม่ฟื้น
“จากความคาดหวังว่าจะกลับมาเปิดประเทศภายใน 120 วัน ต้องยอมรับว่าระหว่างทางมีอุปสรรคอยู่มาก โดยเฉพาะเรื่องของจำนวนวัคซีนที่กระจายได้น้อยเกินไป เพราะฉะนั้นการลงทุนในกลุ่ม Reopening ต้องแบกรับความเสี่ยงเหล่านี้ไปด้วยระหว่างทาง” ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าว
ณัฐชาตมองว่า หุ้นกลุ่มเติบโต (Growth) ที่กำไรยังมีแนวโน้มจะออกมาดีในช่วงนี้เป็นกลุ่มที่น่าสนใจกว่า สำหรับนักลงทุนบางส่วนที่เพิ่มน้ำหนักหุ้นในกลุ่ม Reopening อย่างกลุ่มท่องเที่ยว แนะนำสลับเข้าไปลงทุนในกลุ่มเติบโต
“ตอนนี้หุ้นในกลุ่ม Reopening ทั่วโลกมีภาพคล้ายกัน แต่ช่วงปลายไตรมาส 3 คาดว่าจะมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญ อย่างเรื่องของการส่งสัญญาณ QE Tapering ซึ่งจะทำให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับตัวขึ้น และกดดันหุ้น Growth ขณะเดียวกันสถานการณ์โควิดช่วงปลายไตรมาส 3 น่าจะเริ่มดีขึ้น ทำให้หุ้นกลุ่ม Value จะกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง”
การเลือกลงทุนในหุ้นธีม Reopening ควรจะเลือกหุ้นที่มีธุรกิจอิงกับเศรษฐกิจในประเทศก่อน เพราะช่วงแรกของการเปิดเมือง ชาวต่างชาติจะยังเดินทางเข้ามาน้อย ขณะเดียวกันก็ควรจะเลือกหุ้นที่มูลค่ายังไม่สูงนัก อาทิ กลุ่มการเงินอย่าง KBANK MTC BAM แม้ว่าจะยังมีการล็อกดาวน์ แต่กลุ่มเหล่านี้จะถูกกระทบน้อยกว่าหุ้นที่อิงกับการท่องเที่ยวโดยตรงอย่าง โรงแรม สนามบิน และสายการบิน ซึ่งราคาหุ้นเพิ่มขึ้นไปสูงแล้ว
ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่าหุ้นกลุ่ม Reopening ในต่างประเทศน่าจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า หลังจากที่มีการกระจายวัคซีนได้ค่อนข้างมาก
กำไรของหุ้นแต่ละกลุ่มในไตรมาส 2 ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในประเทศอาจหดตัว 20-25%
สรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ความท้าทายที่สำคัญตอนนี้คือ ความเร็วในการกระจายวัคซีน ในระยะแรกประเทศไทยสามารถฉีดวัคซีนได้เฉลี่ย 3 แสนโดสต่อวัน แต่ตอนนี้ลดลงมา ขณะเดียวกันการกลับมาแพร่ระบาดของหลายๆ ประเทศ เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย ก็ทำให้ภาพรวมขณะนี้ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก
“ช่วงที่ผ่านมา Fund Flow ไหลออกจากเอเชียชัดเจน จากความกังวลว่าจะกลับมาเปิดประเทศเมื่อใด สำหรับประเทศไทยเองดูก็คาดการณ์กันว่าการเปิดประเทศจะเกิดขึ้นได้ต้องรอไปถึงปีหน้า ทำให้การฟื้นตัวของหุ้นกลุ่ม Reopening ต้องชะลอออกไป”
หนึ่งในปัจจัยที่ต้องจับตาคือ การแพร่ระบาดของโควิดในช่วงหลังจบฟุตบอลยูโร ช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่าผู้คนในยุโรปเข้าไปเชียร์บอลโดยแทบจะไม่มีการป้องกันใดๆ ส่วนหนึ่งจากความมั่นใจมากขึ้นหลังจากการกระจายวัคซีนในระดับ 40-50% ทั้งนี้ ต้องติดตามว่าตัวเลขการติดเชื้อหลังจากนี้จะพุ่งขึ้นหรือไม่
สำหรับประเทศไทยซึ่งกระจายวัคซีนได้น้อยกว่า ทำให้ยังมีความกังวลกดดันตลาดหุ้นอยู่ต่อเนื่อง เพราะ 60% ของหุ้นในไทยอิงกับเศรษฐกิจในประเทศอย่างกลุ่มธนาคาร ซึ่งเราประเมินในเบื้องต้นว่ากำไรปกติช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา (ไม่รวม KBANK และกำไรพิเศษของธนาคารกรุงศรี) มีโอกาสจะลดลง 25% จากไตรมาสแรก ขณะที่กลุ่มอื่นๆ ซึ่งอิงกับการบริโภคในประเทศก็มีโอกาสจะกำไรลดลง 20-25% จากไตรมาสก่อน
“เดิมทีตลาดคาดหวังว่ากำไรไตรมาส 2 จะเป็นจุดต่ำสุด และเริ่มฟื้นตั้งแต่ไตรมาส 3 แต่เดือนแรกของไตรมาส 3 ต้องเผชิญกับการล็อกดาวน์ใน 6 จังหวัดหลัก คงต้องตามดูว่าช่วงที่เหลือของไตรมาสนี้จะทำได้ดีแค่ไหน”
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าท้ายที่สุดหุ้นธีม Reopening จะปรับขึ้นได้ เพราะฉะนั้นหากดัชนีหุ้นไทยปรับฐานลงไปบริเวณ 1,540-1,550 จุด แนะนำนักลงทุนทยอยสะสมเพิ่มเติม
ผู้ประกอบการโรงแรมเกาะติด Phuket Sandbox
แหล่งข่าวผู้ประกอบการโรงแรมเปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญสำหรับโอกาสในการเปิดประเทศและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในประเทศคือ Phuket Sandbox
“จากประสบการณ์ส่วนตัว เมื่อใดก็ตามที่ประเทศไทยเกิดปัญหาภายในและกระทบต่อการท่องเที่ยว หากภูเก็ตเริ่มมีอัตราการเข้าพักที่เพิ่มขึ้น จะเป็น Indicator สำคัญที่บ่งชี้ว่า การท่องเที่ยวในส่วนอื่นๆ จะเริ่มฟื้นตัวตามมาได้”
ฉะนั้นแล้ว Phuket Sandbox เป็นการทดสอบระบบของไทยว่าสามารถควบคุมได้มากน้อยแค่ไหน หากควบคุมได้ดีและมีการแพร่ระบาดของโควิดต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ นักท่องเที่ยวจะเริ่มมั่นใจมากขึ้น และหากเป็นเช่นนั้น การท่องเที่ยวในประเทศจะเริ่มดีขึ้นในไตรมาส 4 ปีนี้
“สิ่งที่ต้องเร่งทำในตอนนี้คือ การพยายามลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงและกระจายวัคซีนให้เร็วที่สุด สถานการณ์ตอนนี้เหมือนกับการวิ่งมาราธอน ต้องเก็บออมกำลังไว้ ถ้ายิ่งเปิดประเทศไม่ได้ รายได้จากนักท่องเที่ยวในประเทศจะยังเป็นส่วนสำคัญ ซึ่งแตกต่างจากภาวะปกติที่รายได้จากต่างชาติจะคิดเป็นประมาณ 2 ใน 3 ของรายได้ทั้งหมด”
ตอนนี้หลายฝ่ายมองว่า การท่องเที่ยวทั่วโลกจะฟื้นได้คงต้องรอไปถึงปี 2566-2568 ขณะที่จีนก็อาจจะไม่ยอมให้นักท่องเที่ยวในประเทศเดินทางออกนอกประเทศไปจนถึงไตรมาส 2 ปีหน้า
ทั้งนี้ ธุรกิจท่องเที่ยวในต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่กระจายวัคซีนได้มาก อาจจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าไทย อย่างในยุโรปที่เริ่มเดินทางระหว่างกัน แต่ทั้งนี้ก็ต้องติดตามว่าประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันจะช่วยป้องกันได้ดีเพียงใด เพราะต้องยอมรับว่าโควิดยังเป็นโรคใหม่ และยังไม่มีวัคซีนที่ยืนยันว่าป้องกันได้ 100%
ส่วนอัตราการเข้าพักของแต่ละพื้นที่จะขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว อย่างในไทยจะเห็นว่าอัตราการเข้าพักที่หัวหินโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 35% สูงกว่าพัทยาที่กว่า 10% หรืออย่างมัลดีฟที่ไตรมาสแรกมีอัตราการเข้าพัก 70-80% ปัจจุบันก็ลดลงมา เพราะหลายประเทศเริ่มมีการระบาดอีกครั้ง
หุ้น Defensive และปันผลสูง เป็นหนึ่งในทางเลือกลงทุนที่น่าสนใจ
วิริยะชัย จิตตวัฒนรัตน์ Vice President Market Solution, Private Wealth Management ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า การกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งในหลายประเทศ อาจจะยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าแต่ละประเทศจะกลับไปล็อกดาวน์แบบเข้มข้นกันอีกครั้ง ขณะเดียวกันนักลงทุนที่เข้าซื้อและยังติดหุ้นหรือกองทุนที่อิงกับการเปิดประเทศ ก็อาจจะเร็วเกินไปที่จะบอกว่าควรจะตัดขาดทุนแล้ว
ส่วนหนึ่งอาจจะพิจารณาในแต่ละธุรกิจ อย่างกลุ่มพลังงานหรืออสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ จะเห็นว่ามีความต้องการเข้ามาสูงมาก ขณะที่ธุรกิจซึ่งอิงกับการจับจ่ายใช้สอยทั่วไปอาจจะชะลอบ้าง เพราะความกังวลต่อการระบาดระลอกใหม่
“ที่ผ่านมาเริ่มเห็นนักลงทุนขายหุ้นธีม Reopening มาระยะหนึ่ง หลังจากที่หุ้นหลายกลุ่มให้ผลตอบแทนที่ดี แต่เมื่อมีข่าวว่าโควิดสายพันธุ์เดลตาเริ่มระบาดมากขึ้น โดยเฉพาะในอังกฤษ ที่แม้จะมีการกระจายวัคซีนได้มาก ทำให้คนเริ่มตั้งคำถามว่า การ Reopening จะกลับมาทำได้ตามคาดหรือไม่ และเห็นการสลับไปลงทุนในกลุ่มหุ้น Growth อย่างกลุ่มเทคโนโลยีมากขึ้น แต่การระบาดครั้งนี้จะกระทบต่อพื้นฐานของธุรกิจแค่ไหน ยังคาดการณ์ได้ยาก”
ทั้งนี้ หากมองธีมการลงทุนครึ่งปีหลัง ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จะส่งผลต่อตลาดคือ การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะลดวงเงิน QE และมีโอกาสจะขึ้นดอกเบี้ยปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566 ทำให้ตลาดการลงทุนจะยากขึ้น จากโอกาสที่สภาพคล่องจะถูกถอนออกไป
“ช่วงครึ่งปีหลังข่าวดีที่ว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วจะกลายเป็นข่าวร้ายกับตลาดหุ้น เพราะสภาพคล่องมีโอกาสจะโดนดูดออกไปเร็วขึ้น สำหรับเงินลงทุนใหม่มองว่า การเลือกลงทุนในกองทุนที่เลือกหุ้นกลุ่ม Defensive อย่างกลุ่มเฮลท์แคร์หรือกองทุนที่เน้นกลุ่มหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงจะเป็นทางเลือกในการกระจายการลงทุนที่น่าสนใจ”