วันนี้ (19 กันยายน) ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้เมื่อ 16 ปีที่แล้ว รัฐบาลภายใต้การนำของ ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
วันนี้ผ่านมา 16 ปี ประเทศไทยเสื่อมถอยลงทุกมิติ ทั้งมิติในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม คนไทยได้เรียนรู้ร่วมกันแล้วว่ารัฐประหารไม่ใช่ข้ออ้างในการเปลี่ยนแปลงประเทศ เพราะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องในการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตย เพราะการเกิดขึ้นของรัฐประหารในปี 2549 และในปี 2557 ส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้รวม 4 ด้าน ได้แก่
1. วิกฤตศรัทธาต่อระบบราชการและกระบวนการยุติธรรมถดถอยตกต่ำ
หลายกรณีที่เกิดขึ้นในสังคมไทย องค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้นและระบบนิติรัฐ นิติธรรม หรือระบบอุปถัมภ์เบ่งบาน อย่างกรณี ส.ต.ท.หญิง ล้วนทำให้ประชาชนเกิดคำถามและข้อสงสัยต่อทั้งระบบราชการและกระบวนการยุติธรรมไม่มากก็น้อย จนทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อระบบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
2. การทุจริตคอร์รัปชันเพิ่มขึ้น
จากการประเมินขององค์กรโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International: TI) ซึ่งได้จัดการประเมินความเชื่อมั่นต่อการทุจริตในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย ได้ชี้ให้เห็นว่าการทำรัฐประหารที่ใช้ข้ออ้างว่าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ประชาชนจากนักการเมืองที่โกงกิน เป็นวาทกรรมเพียงเพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำรัฐประหารเท่านั้น เพราะในปี 2564 อันดับการทุจริตในประเทศไทยอยู่อันดับที่ 104 ตกต่ำสุดในรอบ 20 ปี แต่ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลพลเรือนของ ดร.ทักษิณ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 59 เป็นอันดับที่สูงสุดในรอบ 20 ปี ตัวเลขเหล่านี้คือเครื่องยืนยันว่ารัฐประหารและรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร ไม่สามารถแก้ปัญหาการทุจริตและคอร์รัปชันได้ ซ้ำร้ายปัญหายิ่งรุนแรงมากขึ้น
3. รัฐบาลกลายเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน
รัฐบาลสืบทอดอำนาจจากผู้นำรัฐประหาร กลายเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองกับประชาชนมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาในช่วง 10 ปี จากสถิติในปี 2565 ยอดรวมจำนวนคดีทางการเมืองมีกว่า 1,065 คดี มีผู้ถูกดำเนินคดีกว่า 1,808 คน และเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ถึง 280 ราย พวกเขาหมดอนาคตเพียงเพราะความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างจากรัฐบาล
4. การเติบโตทางเศรษฐกิจถดถอย
รัฐบาลสืบทอดอำนาจที่ไร้ซึ่งความรู้ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อต้องเจอกับวิกฤตโรคระบาดใหม่อย่างโควิด จึงไม่สามารถบริหารประเทศภายใต้วิกฤตได้ สะท้อนได้จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ทิ้งดิ่งติดลบหนักสุดถึงกว่า 6%
โดยจากการรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่มาถึง 8 ปี ทำ GDP ประเทศคิดเป็นมูลค่าเพิ่มแค่ 2.4 ล้านล้านบาท แตกต่างจากรัฐบาลทักษิณ แม้มีโอกาสบริหารประเทศครบวาระ และพี่น้องประชาชนเลือกเข้ามาในสมัยที่ 2 รวมการเป็นรัฐบาลเพียง 5 ปี ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ต้องเจอกับโรคระบาดใหม่ เช่น ไข้หวัดนก แต่ GDP ไม่เคยติดลบ ทั้งยังทำให้มูลค่า GDP ในประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 3 ล้านล้านบาท เช่นเดียวกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามาบริหารประเทศเพียง 3 ปี แม้จะต้องเจอกับวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ปีแรกของการเข้ามาเป็นรัฐบาล แต่ GDP ไม่ติดลบ ซ้ำยังทำให้มูลค่า GDP ในประเทศตลอดอายุของการเป็นรัฐบาล เพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ซึ่งมีที่มาจากการรัฐประหารและสร้างกติกาเพื่อให้ตนเองอยู่ในอำนาจมาถึง 8 ปี ทุกวันนี้คนไทยยังคงจนลง รัฐบาลขยันสร้างหนี้เพิ่มเพราะหาเงินไม่เป็น ใช้เงินเก่งมือเติบ อยู่มา 8 ปี กู้เงินในงบประมาณไปแล้วเกือบ 4 ล้านล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ยังไม่รวมหนี้นอกงบประมาณ พล.อ. ประยุทธ์ สร้างหนี้มากกว่ารัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์ และยังสร้างหนี้สาธารณะมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทะลุ 10 ล้านล้านบาท หนี้ครัวเรือนยังพุ่งสูงทะลุถึง 90% ต่อ GDP สูงสุดในรอบ 18 ปี ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่มาจากทหารได้อย่างชัดเจนที่สุด
“ผ่านมา 16 ปี กับการทำรัฐประหาร 2 ครั้ง ผู้มีอำนาจเขียนกติกาเพื่อสืบทอดอำนาจ แต่ก็ยังไม่สามารถนำพาประเทศพ้นจากความจน ตรงกันข้ามกลับจมดิ่ง ล้าหลัง และเสื่อมถอย หากรัฐบาลทักษิณได้มีโอกาสบริหารประเทศ 8 ปี เหมือนที่ พล.อ. ประยุทธ์ทำ ประเทศไทยวันนี้คงกลายเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย นำพาประเทศไทยยืนผงาดในเวทีโลก ทั้งหมดคือบทเรียนที่มีค่าที่คนไทยต้องตระหนัก และกำจัดรัฐประหารให้สูญพันธ์ุ เพราะมันไม่ใช่คำตอบของสังคมไทย” ดร.ลิณธิภรณ์กล่าวในที่สุด