×

พระพยอมมองวิกฤตสงฆ์ บทบาทรัฐ ลาภสักการะเกินจนล้น และศรัทธาที่ไร้ปัญญาของคนไทย

07.06.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 MINS READ
  • เป็นพระต้องจน เป็นคนต้องรวย ถ้าพระรวยก็ซวยไปเลย
  • พระศาสนาเหมือนต้นไม้ที่ชาวบ้านร่วมบำรุง แม้จะมีคนปีนไปเก็บดอกผลแล้วพลาดหล่นลงมา ก็ใช่ว่าเราต้องเลิกบำรุงรดน้ำต้นไม้นั้น
  • ในวันที่สังคมไทยบางส่วนศรัทธาอย่างไร้ปัญญา วัดสวนแก้วกลับเป็นวัดที่อยู่ได้ด้วยปัญญานำ โดยลดภาระค่าใช้จ่ายผ่านโรงงานรีไซเคิลขยะ

ท่ามกลางกระแสข่าวจับกุมขบวนการทุจริตที่ข้าราชการร่วมมือกับพระผู้ใหญ่ในวงการสงฆ์ ยังไม่นับรวมปัญหาในวงการสงฆ์ที่ถูกเปิดโปงมาไม่เว้นแต่ละวัน

 

ทั้งมิติที่รัฐเกี่ยวข้องในการให้งบประมาณ หรือการแสวงหารายได้ของวัดในทางที่สังคมมีความเห็นเป็นสองทาง ด้านหนึ่งเห็นว่าจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการปลุกเสก การสะเดาะเคราะห์ ทำวัตถุมงคล เพื่อรองรับภาระค่าใช้จ่าย น้ำไฟในวัด ทำนุบำรุง ปฏิสังขรณ์วัด ที่งบประมาณของภาครัฐไม่เพียงพอ แต่ก็มีเสียงสะท้อนอีกมุมว่าเกินสมควร เกินจำเป็น และตั้งคำถามว่าวัดมีส่วนบ่มเพาะความศรัทธาที่ไร้ปัญญาหรือไม่

ทางสายกลางทั้งของวัด ของชาวพุทธ และคนที่มีค่านิยมใหม่ในการประกาศเป็นคนไร้ศาสนา จะดำเนินไปในทิศทางใดได้บ้าง ฟังแง่มุมเหล่านี้ได้จาก ‘พระราชธรรมนิเทศ’ หรือ พระพยอม กลฺยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ในรายการ THE STANDARD Daily

 

 

พระต้องมีสมณสัญญา

“ท่านทำไปได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เป็นภาวะที่ทำไม่ได้ ทำไมไม่รู้จักว่าอันนี้ทำไม่ได้ แล้วไปทำในสิ่งที่ทำไม่ได้ ก็รู้สึกว่าท่านทำไปได้อย่างไร รู้สึกฉงนใจว่าเผลอไปได้อย่างไร ในเรื่องที่ต้องฝึกฝนให้ดี ไม่ประมาท ไม่พลาด ต้องยิ่งหมายรู้ว่าเราเป็นอะไร ต้องมีสมณสัญญา ถ้ารู้ว่าเราเป็นอะไรอยู่ อะไรที่เราทำได้ ทำไม่ได้ มันก็ต้องมากำกับชีวิตเรา”

 

นี่คือความรู้สึกของพระพยอม ต่อสถานการณ์การทุจริตของพระผู้ใหญ่ที่ปรากฏข่าวทุจริตเงินทอนวัด ซึ่งพระพยอมยังบอกกับเราอีกว่า

 

“เรื่องนี้ถ้าไม่มีท่านพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ เราก็จะไม่รู้เลย มันเป็นเรื่องของรัฐบาลที่ทำไม่สุดซอยด้วย เพราะตอนที่เอางบประมาณให้ไป คือข้าราชการเปรียบเหมือนแมว งบประมาณแผ่นดินเหมือนปลาย่าง เอาปลาย่างไปฝากแมว แมวก็ขย้ำกิน ขนาดผู้ตรวจสอบของกระทรวงให้งบไปไหนต้องตามดู ที่เป็นมาทั้งหมดนี้เราไม่นึกเลยว่าคนที่อยู่กับงานพระศาสนา เป็นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็น ผอ. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้ที่กระทำเรื่องนี้ ซึ่งเป็นการโกงความดีของตัวเองที่กว่าจะขึ้นมาเป็นถึง ผอ. เป็นปลัด เป็นข้าราชการซี 8 ต้องสั่งสมความดีมามากแค่ไหน”

 

รัฐปรนเปรอพระ

เมื่อมองไปถึงรากฐานของปัญหานี้ พระพยอมชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของสังคมไทย คือความศรัทธาอย่างไร้ปัญญา

 

“รัฐบาลปรนเปรอศาสนาด้วยลาภสักการะอย่างสำลักท่วม จนทำให้พระเสียศูนย์ สมเด็จองค์หนึ่งมรณภาพ ถวายเงินทำศพ 60-70 ล้าน แต่หลวงพ่อพุทธทาสเผาศพท่านหมดไม่ถึงพันบาท ใช้ไม้ใช้ฟืนธรรมดา ทำไมเผาศพจึงมาเป็นเผาทรัพย์กันขนาดนี้ การที่รัฐบาลให้งบประมาณไปสร้างเปรียญพระปริยัติธรรม หรือไปให้การศึกษาพระ รัฐบาลได้ไปตรวจสอบไหมว่าสร้างไปแล้วหรือยัง ให้ไปเท่านี้ ไม่สร้าง แต่มาเบิกงบไปได้แล้ว”

 

 

วิกฤตพุทธศาสนา

ในรายการช่วงหนึ่งพิธีกรถามว่า “จะพูดได้หรือยังว่านี่คือวิกฤตศาสนา” พระพยอมให้คำตอบว่า

 

“มันมีมาทุกยุค เพียงแต่ยุคก่อนไม่เป็นข่าว ไม่ว่าจะในไทยหรือในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งพระก็มีเสื่อม ตลอดจนสมัยยันตระ ดังนั้นคิดง่ายๆ ศาสนาก็เปรียบเหมือนต้นไม้ มีออกดอกผล คนก็ไปปีนหวังจะเก็บ พระ เณรเป็นพวกปีนอันดับต้นตั้งแต่แรก ชาวบ้านก็รดน้ำบำรุงต้นไม้ไว้ ปรากฏว่ามีคนหล่นจากต้นไม้มา ขึ้นไปตั้งสูงแล้ว ถึงชั้นพรหมชั้นเทพแล้ว ดันหล่นลงมา

 

“ถามว่าเราจะเลิกรดน้ำ ใส่ปุ๋ย เลิกบำรุงไหม จะเลิกเรียนรู้คำสอนไหม หรือจะไม่ศึกษาปล่อยให้ต้นไม้ตาย

 

“อาตมาเห็นว่าศาสนาไม่อยู่ สัตว์โลกก็ไม่มีที่พึ่ง เพราะฉะนั้นชาวบ้านก็ต้องรู้จักแยกแยะ จะเสื่อมตามเขาไปก็มีปัญญาน้อยไป หรือหากได้ยินคำสอนแล้วประทับใจก็ไม่มีทางสึก ทางเสื่อม”

 

 

เราควรจะทำนุบำรุงศาสนาอย่างไรดี

“อาตมาว่าเวลานี้ไม่ใช่เงินอย่างเดียวนะ ความสุขสบายทุกอย่างแม้กระทั่งอาหาร ทุกวันนี้เลี้ยงอาหารโต๊ะจีนอย่างดี เห็นเขาเล่ากันที่วัดนั้นไปแล้วได้ฉันไข่ปลาคาเวียร์ ทำไมต้องปรนเปรอบำเรอขนาดนี้ แล้วที่จริงพระไทยเดิมบ้านนอก น้ำพริกปลาทูผักจิ้ม แล้วก็ถูกโภชนาการด้วย สุขภาพดีด้วย เดี๋ยวนี้พระป่วยกันเยอะขึ้น เพราะญาติโยมซื้ออะไรก็ไม่รู้ พ่อแม่ฉันชอบกินของหวาน ฉันก็เลยทำอะไรหวานๆ ถวายพระ พระก็เลยเป็นเบาหวาน อย่างนี้ไม่รู้เรื่อง อย่างนี้ไม่ถึงกับบาป แต่ไม่ฉลาดทำบุญ

 

“จะทำอะไรต้องนึกถึงผลข้างเคียง หรือไปถึงเรื่องสร้างอะไรใหญ่โตจนรกวัดไปหมด เข้าไปแทบไม่มีอากาศหายใจ แล้วก็ตัดต้นไม้ออก ทั้งที่พระพุทธเจ้าประสูติก็โคนต้นไม้ ตรัสรู้ก็โคนต้นไม้ ไม่ได้ประสูติที่โรงพยาบาล ไม่ได้ตรัสรู้ที่มหาวิทยาลัย แล้วสอนสาวกก็สอนที่โคนต้นไม้ ดับขันธปรินิพพานก็ยังที่โคนต้นไม้อีก แต่วัดยุคนี้ไปดูสิ ตัดต้นไม้กันเยอะ เพื่อจะโชว์หน้าบันโบสถ์ แทนที่จะรักษาต้นไม้ไว้ร่มเย็น

 

“อย่างวัดสวนแก้ว มีต้นไม้ร่มเย็น เพราะคำสั่งท่านพุทธทาสสั่งให้อาตมาไปสร้างสวนโมกข์ไว้ชานเมือง ก็ได้ที่มา 179 ไร่ ด้วยเงินที่วัดสวนแก้ว ซึ่งวัดสวนแก้วได้เงินบริจาคน้อย เรามีรับบริจาคของรีไซเคิล เราสร้างโรงคัดแยกขยะ 50 ล้าน ปีนี้น่าจะได้ 70 ล้าน ขนาดเศรษฐกิจแย่นะ ทำใช้เองบ้าง เหลือก็ขายไป นี่คือปัญญา ไม่ต้องปลุกเสกอะไรสักรุ่น”

 

 

เป็นพระต้องจน

“แน่นอน เป็นพระต้องจน เป็นคนต้องรวย ถ้าพระรวยก็ซวยไปเลย พระรวยๆ นี่เป็นผีไปหลายองค์ ยังหาตัวไม่เจอเลย ผีไม่เห็นตัว รวยจนหลบหลีก

 

“วัดอาตมาเข้ากองกลาง เข้าธนาคารหมด ถ้าเข้าตัวเก็บไว้กุฏิ เด็กก็ไปงัดกุฏิ แต่เราเอาเข้าธนาคาร ปีหนึ่งเราให้ทุนการศึกษาปีละ 4 ล้าน ได้จากขยะมากที่สุด ส่วนวัดอื่นได้จากคนทำบุญมากกว่าเรา แต่วัดเราทำบุญด้วยขยะ ได้มากกว่าคนอื่น แล้ววันนี้ยิ่งซื้อที่ดิน พอขายขยะได้ก็ซื้อที่ดิน ตอนนี้ทั้งหมด 3,900 ไร่ ให้คนยากจนคนจนปลูกผลไม้ จนกระทั่งตอนนี้ ทุเรียน เงาะ มังคุดเต็มวัดไปหมด

 

“เรามีโครงการเนื่องจากเมื่อ 28 ปีก่อน มีการสำรวจคนไทยทุกข์ที่สุดเพราะอะไร หนึ่งทุกข์เพราะไม่มีที่อยู่อาศัย ทุกข์ไม่มีที่ทำมาหากิน ก็ไปบุกป่า รุกเขาคูคลองก็ถูกจับติดคุกเป็นทุกข์กัน สอง ทุกข์ไม่มีงานทำ สาม ทุกข์ไม่มีเงินใช้ ไปกู้หนี้นอกระบบ เขาถึงบอกว่าทุกข์ 3 อย่างนี้ เทวดา พระ เณร ก็ไม่มีปัญญาจะช่วย เราก็รู้สึกว่าเสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชายชาติพระ บวชมาช่วยเขาไม่ได้ ก็เลยตั้งใจว่าชาตินี้ไม่สร้างโบสถ์ ไม่สร้างวิหาร เจดีย์ มีเงินซื้อที่ เดิมวัดสวนแก้วมี 3 ไร่ วันนี้มี 179 ไร่ ให้คนยากคนจนมาปลูกมาทำ เลี้ยงคนยากคนจน 5 พันกว่าคน จ่ายเดือนละ 5 ล้าน จากรายได้การขายสิ่งที่ปลูก ผักนี่เก็บขายกันทุกวัน ตอนนี้ไม่น่าเชื่อว่าผักที่ได้ทุกวันนี้วันละหมื่นก็คือหน่อไม้

 

“ที่วัดตอนนี้ตั้งกองทุน 3 กอง ธนาคารน้ำ ทำเรื่องน้ำ เจาะหลุมบาดาล ทำแก้มลิง ขุดบ่อ 2 ร้อยกว่าไร่ ซื้อรถแบล็กโฮ 19 คัน สอง กองทุนผู้สูงวัย ตอนนี้เลี้ยงคนชราไว้ 103 คน สาม กองทุนสัมมาชีพ คนที่ไม่มีอาชีพมาที่วัดสวนแก้วได้เลย รับ 500 อัตรา ใครชอบอะไรทำอะไรเลือกกันเอา มีทั้งเกษตรกรรม พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม สุดท้ายกองทุนชุบชีวิตยามตกอับ เวลาเขาไฟไหม้เราก็มีข้าวไปเลี้ยงก่อน มีมุ้งหมอนที่นอนเสื่อ”

 

ทำไมไม่ทำพระเครื่อง

“พระธรรมกับพระเครื่องใครจะเฟื่องกว่ากัน ดูสิ จตุคามรามเทพไป ตุ๊กตาลูกเทพก็ไป แล้วไปทำแบบนั้นเนี่ย อาตมาคิดว่าเขาทำกันเยอะแล้ว แล้วอย่างอาตมา เราอยู่กับพุทธทาส อยู่กับหลวงพ่อปัญญา อยู่กับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ในบทเรียนบทเขียนของท่านเราอ่านศึกษา เรารู้เลยว่าอันไหนเป็นสิ่งที่เราควรจะยึดเป็นสรณะ พระธรรมถ้าเรายึด ช่วยได้กว่าพระเครื่อง อย่างเดี๋ยวนี้ใครมีพระเครื่อง สมเด็จฯ แพงๆ ด้วยนะ องค์ละ 4 ล้าน อย่าคิดว่าพระเครื่องจะคุ้มครองเรา เรากลับต้องคุ้มครองพระเครื่องให้ดีๆ

 

 

ศรัทธาที่ขาดปัญญา ปัญหาชาวพุทธไม่ฉลาดทำบุญ

“ปัญหา 2 เรื่องสำคัญเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ คือ หนึ่ง ชาวพุทธทำบุญไม่ฉลาด สอง พระบริหารเงินบุญไม่ฉลาด

 

“ชาวพุทธทำบุญไม่ฉลาด คือบริจาคไม่มีเหตุมีผล อย่างโปรยทานในงานบวชลูกเศรษฐี ถ้าเกิดขี้เมาเก็บได้ ไปเมา 7 วันจะเป็นอย่างไร คนโปรยทานได้บุญไหม หรือเกิดคนเก็บเอาไปเล่นพนัน จะได้บุญไหม หรือเอาไปสร้างสิ่งของกันอย่างพิฆเนศ ท้าวมหาพรหม ซึ่งไม่ใช่สัญลักษณ์ของพุทธ หรืออย่างกิจกรรมทำบุญ 9 วัด ก็กลายเป็นการตลาด ที่ไม่ได้ให้คนเข้าฟังธรรม เพราะหากมีการเทศน์ก็จะไปวัดอื่นต่อไม่ทัน

 

“ดังนั้นการตลาดเหล่านี้ทำให้การไปวัดไม่ได้รับสาระธรรม การทำบุญ ถวายของกับพระพุทธเจ้าเป็นร้อยครั้ง ไม่เท่ากับเจริญอนิจจสัญญา (พิจารณาความไม่เที่ยง) เพียงครั้งเดียว เช่น คุณจะหยิบแบงก์พันใบหนึ่งใส่พรวดในตู้ แต่อีกคนหนึ่งหยิบแบงก์ร้อยมา เจริญอนิจจสัญญา เจ้าแบงก์ร้อยเอ๋ย ข้ารู้ทันเจ้า ข้าต้องจากเจ้า ถ้ามันไม่จากเรา เราก็ต้องจากมัน จากเราก็คือน้ำท่วม ไฟไหม้ ออกจากกระเป๋าหมด นี่คือจากเรา ส่วนเราจากมันก็คือเราฝากเข้าธนาคาร เก็บใต้หมอน ใต้เตียง แล้วเราป่วยตายเสียก่อน

 

“ดังนี้เราก็ต้องเจริญอนิจสัญญาว่ามันจากเรา หรือเราก็ต้องจากมัน ก่อนที่จะบริจาคให้เจริญอนิจจสัญญา รู้ถึงความไม่เที่ยง มีขาขึ้นก็ต้องมีขาลง”

 

แก่นแท้ของพุทธศาสนาของพระพยอม

ถ้าหมายถึงวิมุตติ ความหลุดพ้น หลุดเป็นบางเรื่อง แต่ไม่หลุดอีกหลายเรื่อง เช่น อารมณ์ใฝ่ต่ำ มันก็มีบ้าง แต่ไม่รบกวนมาก เราก็บริกรรมสู้รบ ถ้าเห็นก้นอย่าให้จิตตก ถ้าเห็นอกอย่าให้จิตต่ำ

 

คนไม่มีศาสนา

“สักวันเขาก็จะเห็นคุณค่าเอง ถ้าคุณเอาการใช้ชีวิตแบบกิน เที่ยว คุณมีความสุขดีก็ทำเถอะ แต่ถ้าสักวันคุณเบื่อมัน มีทุกข์ ลองหันมาทางนี้ดู วิมุตติรส รสแห่งการหลุดพ้น

 

“ถามว่าจะชี้ทางให้เขาอย่างไร มันก็มี 3 อย่าง หนึ่ง พูดให้ฟัง สอง ทำให้ดู สาม อยู่เป็นสุขให้เห็น แล้วความหลุดพ้นมันมีตั้งหลายอย่าง สวดมนต์ ทำสมาธิ ฟังเทศน์ฟังธรรม”

 

 

จุดอ่อนของคนไทย

“ศรัทธาที่ไร้ปัญญาและหาชั่ว ใช้ชั่ว มันทำให้บ้านเมืองแย่มาก หาเงินแบบชั่วๆ ใช้เงินไปกับเรื่องไร้สาระ ใช้จนตัวตาย ทุกวันนี้ศีลธรรมตกต่ำมาก หลวงพ่อพุทธทาสพูดไว้ว่า ศีลธรรมไม่กลับมาโลกาวินาศ

 

“ถ้าเปลี่ยนแปลงสังคมได้ อาตมาอยากเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส วิกฤตตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด เศรษฐกิจ สังคม ศีลธรรม การเมือง การเมืองก็อยู่ในวิกฤตเหมือนกัน ถ้าไม่วิกฤตเขาคงไม่ยึดอำนาจหรอก อยากให้ใครที่รู้ว่ายาเสพติดเป็นวิกฤตก็ขอให้เสพเป็นเม็ดสุดท้าย ใครที่สูบบุหรี่ก็สูบเป็นมวนสุดท้าย ใครมีลูกมีผัวก็ขอเป็นคนสุดท้ายอย่าไปมีพร่ำเพรื่อ”

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X