วันนี้ (25 มีนาคม) ที่รัฐสภา ในการประชุมสมาชิกวุฒิสภาที่มี สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสมาชิก คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริง หรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 153
นพ.พลเดช ปิ่นประทีป สมาชิกวุฒิสภา ลุกขึ้นอภิปรายว่า เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 สว. เสียงข้างมากพร้อมใจกันโหวตรับรองนายกรัฐมนตรีให้เศรษฐา ทวีสิน ด้วยหวังว่าประเทศจะไม่มีรัฐบาลสุดโต่งสุดขั้ว สังคมไทยจะก้าวพ้นวังวนม็อบการเมืองที่บ่อนทำลายการพัฒนา แต่เมื่อเวลาผ่านไปยังหาผลงานรัฐมนตรีไม่พบ นอกจากเต้นแร้งเต้นกาผ่านหน้าจอทีวี ขายฝันลมๆ แล้งๆ
นพ.พลเดช กล่าวต่อว่า ตนได้รับการร้องเรียนจากประชาชน โดยเฉพาะการปฏิบัติการเฉพาะกิจพญานาคราชของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่อายัดยางก้อน 600 ตันเศษของชาวบ้านในอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เนื่องจากสงสัยยางจำนวน 29 ตัน แต่ 1 เดือนผ่านไปไม่มีการดำเนินการ จนยางก้อนเกิดความเสียหาย แม้จะมีหน่วยงานลงนามร่วมกันให้แบ่งก้อนยางเป็น 2 ส่วน แยกส่วนที่ไม่สงสัยออก แต่ก็ยังไม่สามารถถอนอายัดได้ ผู้ประกอบการจึงได้สอบถามไปยังรองอธิบดีผู้เซ็นคำสั่ง แต่คำตอบที่ได้คือให้ไปเคลียร์กับที่ปรึกษารัฐมนตรี ซึ่งจะใช่คนเดียวกับที่ยุ่งกับที่ดิน ส.ป.ก. หรือไม่ ตนไม่ทราบ
“ท่านรัฐมนตรีคงจะมีงานยุ่งมาก ไหนจะเรื่องหมูเถื่อน, ส.ป.ก. ท่านจึงแต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นมาช่วยงานเรื่องแบบนี้ พอเข้าใจกันได้ แต่เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เริ่มจากชุดเฉพาะกิจของท่าน ทราบอีกว่ายังมีชุดเฉพาะกิจอีกชุดประกบตามเข้ามา จนมีคำขวัญว่า เจอจ่ายจบ ไม่จ่ายเป็นเจ็บ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่าทีมงานชุดสัมภเวสี” นพ.พลเดช กล่าว
นพ.พลเดช กล่าวอีกว่า ยังมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลจากจังหวัดกระบี่ที่มาแจ้งข้อกล่าวหาผู้ประกอบการว่านำเข้ายางจากประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต ชาวบ้านที่หากินแบบสุจริตจะอยู่กันแบบไหน นอกจากได้รับผลกระทบจากสงครามการเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน ยังถูกอิทธิพลการเมืองตั้งด่านเกษตรซ้อนด่านความมั่นคง พร้อมคำขู่ หากไม่จ่ายจะไม่สามารถทำธุรกิจในพื้นที่ได้ และหากนำเรื่องไปฟ้องก็ไม่สามารถอยู่ในพื้นที่ได้ นี่คือโทษฐานที่ไม่มอบกล้วย
นพ.พลเดช กล่าวว่า ขอฝากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหัวหน้าพรรคการเมืองที่รับผิดชอบ รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอจงบำบัดปัดเป่าความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชนและบ้านเมืองของเรา เพราะที่นี่คือยางพาราไม่ใช่แป้ง
ธรรมนัสท้า ‘เปิดชื่อ’
ขณะที่ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงกรณีการนำยางพาราในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีว่า เรื่องดังกล่าวเป็นประเด็นที่รัฐบาลให้ความสนใจ มีการติดตาม รวมถึงเพิ่มความสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าภาคการเกษตรเถื่อนเข้าสู่ประเทศไทย
ร.อ. ธรรมนัส กล่าวว่า ตนเองได้ประกาศตัวในช่วงที่เข้ามาบริหารกระทรวงเกษตรฯ ช่วงแรกจะทำสงครามกับสินค้าเถื่อนทุกประเภท ตนเองมีความชื่นชมต่อสมาชิกวุฒิสภา เนื่องจากเคยเป็นครูบาอาจารย์ที่สั่งสอน รวมถึงเคยเป็นรุ่นพี่ที่เรียนในสถาบันทั้ง 4 เหล่าทัพมาด้วยกัน ซึ่งได้พร่ำสอนว่าการที่จะทำอะไรขอให้นึกถึงบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง และอย่าหลงมัวเมากับอำนาจ วาสนา และทรัพย์สินเงินทอง
แต่เมื่อตนเองได้ฟังท่าน นพ.พลเดช อภิปรายถึงความเดือดร้อนของประชาชนแล้ว ทำให้ตนเองรู้สึกในทางที่ไม่ดี ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง เป็นอดีตนายแพทย์ ทุกคำพูดที่ท่านพูด โดยเฉพาะคำพูดที่ได้ทิ้งท้าย เป็นคำพูดที่ทิ่มตำตัวตนเองอย่างมาก
ร.อ. ธรรมนัส กล่าวว่า ตนเองไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ จึงเลือกที่จะทำเพื่อบ้านเมือง การที่ท่านระบุว่าประชาชนในพื้นที่อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เดือดร้อน ขอถามกลับว่าประชาชนคนไหน เพราะกระทรวงเกษตรฯ เข้มงวดในการส่งสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เป็นเรื่องที่ประชาชนในพื้นที่ร้องเรียนมาว่ายางพาราที่อยู่ในบริเวณนั้นส่งกลิ่นเหม็น แต่ตนทราบมาว่าผู้ประกอบการที่มาร้องเรียนเป็นญาติพี่น้องกับท่าน
ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯ ให้ความสำคัญกับนโยบายการปราบปรามสินค้าเถื่อนทุกประเภท โดยเฉพาะยางพารา นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานฝ่ายความมั่นคงตรวจค้นและตรวจสอบสินอย่างเข้มข้น ขณะเดียวกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานร่วมกันหน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช ซึ่งมีการกล่าวหาว่าหน่วยเฉพาะกิจพญานาคราชตั้งด่านซ้ำแล้วซ้ำอีก
ร.อ. ธรรมนัส กล่าวต่อว่า การตั้งด่านซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ใช่การตั้งด่านของหน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช แต่เป็นด่านของกรมวิชาการเกษตร เพื่อตรวจสอบกลุ่มผู้ประกอบการที่เดินทางไปปลูกยางพาราที่ประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากมีค่าแรงงานถูก และมีต้นทุนการผลิตต่ำ ซึ่งมีการลักลอบเข้าเอามาขายที่ประเทศไทย รวมถึงยังส่งผ่านไปยังประเทศมาเลเซีย ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับวงการยางพาราด้วย
ร.อ. ธรรมนัส กล่าวทิ้งท้ายว่า เมื่อมีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจพญานาคราชปฏิบัติการโดยมิชอบ รวมถึงมีการเรียกรับผลประโยชน์ ขอให้แจ้งมายังตนเองได้เลย ยืนยันว่าดำเนินการอย่างไม่มีบัญชีนาย บัญชีลูกน้อง ตนเองจะดำเนินการขั้นเด็ดขาด พร้อมทั้งขอว่าอย่ากล่าวหาแบบคลุมเครือและไม่มีความชัดเจน เมื่อกล้าเปิดหน้าแล้วต้องพูดให้สุดว่าบุคคลนั้นคือใคร