ในเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีช่วงเวลาที่แฟนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึงคนที่ไม่ได้เป็นสาวกปีศาจแดงแต่คาดหวังว่าผลการแข่งขันจะเป็นใจ รู้สึกว่า ‘ไม่แน่เว้ย’ ที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้อาจจะสะดุด
ความคิดนั้นเกิดขึ้นจากประตูสุดสนั่นที่เหมือนเก็บเอาความโกรธเคืองที่มีทั้งหมดระบายออกมาใส่ลูกยิงของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่เป็นประตูนำในช่วงต้นเกม และจากความผิดพลาดชนิดหมูหกของ เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ ในช่วงท้ายครึ่งแรก
แม้แต่ เควิน เดอ บรอยน์ ตัวทำเกมที่ดีที่สุดในโลกก็มีออกอาการตื้อเหมือนกัน ลูกเปิดลูกยิงไปจนถึงจังหวะในเกมไม่นิ่งเป็นน้ำแข็งเหมือนเคย ซึ่งแน่นอนว่ามันลามไปถึง แบร์นาโด ซิลวา, โรดรี หรือ จอห์น สโตนส์ ด้วย
แต่แล้ว ฟิล โฟเดน ก็แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถเป็นคนที่พาทีมกลับมาได้ด้วยตัวเอง ด้วยประตูตีเสมอที่สวยงามไม่ได้น้อยหน้าแรชฟอร์ดสักเท่าไร และประตูที่เหมือนปลิดลมหายใจของปีศาจแดงด้วยลูกยิงแซงนำก่อนหมดเวลาแค่ราว 10 นาที
สำหรับ เป๊ป กวาร์ดิโอลา นี่คือผลงานระดับมาสเตอร์พีซที่เขาภาคภูมิใจที่สุด
2 ประตูของโฟเดนไม่เพียงแต่จะช่วยพาแมนฯ ซิตี้ กลับมาคว้า 3 คะแนนได้ในศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บี ที่น่าอึดอัดที่สุดนัดหนึ่งในรอบหลายปี ซึ่งต้องให้เครดิตแก่ทีมของ เอริก เทน ฮาก ที่พยายามต้านทานเอาไว้อย่างเหนียวแน่น แต่ยังเป็นการรักษาความหวังของการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกติดต่อกัน 4 สมัยเอาไว้ด้วย
เพราะหากพลาดพลั้งพ่ายขึ้นมานั่นหมายถึงแมนฯ ซิตี้จะตามหลังลิเวอร์พูล 4 คะแนน ก่อนจะบุกไปเยือนที่แอนฟิลด์ในวันอาทิตย์หน้า ซึ่งไม่เป็นเรื่องดีต่อสถานการณ์ของการแข่งขันที่เข้มข้นแน่นอน
ในช่วงที่ผ่านมาโฟเดนฉายแววของความโดดเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ มีส่วนกับการทำประตูหรือมีส่วนร่วมกับการได้ประตูอยู่ตลอด
นับเฉพาะในฤดูกาลนี้โฟเดนยิงไปแล้ว 18 ประตู และผ่านบอลให้เพื่อนทำประตูได้อีก 10 ครั้งจากการลงสนาม 40 นัดทั้งฤดูกาล และอีกตัวเลขที่น่าสนใจตามมาคือการสร้างสรรค์โอกาสที่มากถึง 82 ครั้งด้วยกัน
ตัวเลขสถิติทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดของนักเตะวัย 23 ปีนับตั้งแต่อยู่กับแมนฯ ซิตี้มา เพราะก่อนหน้านี้โฟเดนเคยทำสถิติตัวเลขการมีส่วนร่วมกับการได้ประตูมากที่สุด 26 ลูก และสร้างสรรค์โอกาสได้มากที่สุด 75 ครั้ง ซึ่งเป็นสถิติตั้งแต่ฤดูกาล 2020/21 ที่พวกเขากลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้หลังปล่อยให้ลิเวอร์พูลยึดแชมป์ไปในฤดูกาล 2019/20
โดยที่ยังเหลือเวลาอีกเกือบ 3 เดือนที่ตัวเลขสถิติจะไปได้ไกลยิ่งกว่านี้เสียอีก
ตัวเลขนี้ยังไม่ได้สะท้อนถึง ‘อิทธิพล’ (Influence) ของโฟเดนที่มีต่อแมนฯ ซิตี้ ในฐานะไพ่โจ๊กเกอร์ที่ผู้จัดการทีมอย่างเป๊ปสามารถจะส่งลงเล่นตรงไหนก็ได้ในแนวรุกของทีม
แดนนี เมอร์ฟีย์ อดีตสตาร์พรีเมียร์ลีกวิเคราะห์ให้กับทาง BBC ว่าโฟเดนนั้นเก่งกาจอย่างเหลือเชื่อ สามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งในแนวรุกของแมนฯ ซิตี้ ไม่ว่าจะเป็นริมเส้นฝั่งขวา ริมเส้นฝั่งซ้าย ไปยืนเป็น ‘False 9’ หรือเป็นบท ‘หมายเลข 10’ โดยที่ไม่ว่าจะเล่นตำแหน่งไหนก็รักษามาตรฐานการเล่นเอาไว้ได้ทั้งหมด
คุณสมบัติเหล่านี้ไม่ใช่ใครจะสามารถทำได้
ที่โฟเดนทำได้นั้นเป็นเพราะนอกจากจะมีพรสวรรค์การเล่นที่น่าเหลือเชื่อแล้ว เขาคือนักฟุตบอลที่ได้รับการปลูกฝังองค์ความรู้ วิธีคิดในการเล่นฟุตบอลจากกุนซืออัจฉริยะอย่างเป๊ปตลอดระยะเวลา 7 ฤดูกาลที่ผ่านมา นับตั้งแต่ได้โอกาสประเดิมสนามในฤดูกาล 2017/18
โดยที่เป๊ปประคบประหงมโฟเดนยิ่งกว่า ‘ไข่ในหิน’ เสียอีก
ในช่วงแรกที่เริ่มฉายแวว โดยเฉพาะหลังแจ้งเกิดในรายการฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลกรุ่นอายุต่ำกว่า 17 ปี มีเสียงเรียกร้องให้เป๊ปผลักดันให้โอกาสโฟเดนลงสนามบ่อยๆ เพราะเป็นนักเตะสายเลือดแท้ของสโมสรที่เติบโตจากอะคาเดมีของทีม เรียกว่าเป็นนักเตะที่แฟนบอลรักและคาดหวัง แต่กุนซือชาวคาตาลันไม่ได้สนใจเสียงเรียกร้องเหล่านั้น
เพราะสำหรับเขาคนที่รู้จักโฟเดนดียิ่งกว่าที่โฟเดนรู้จักตัวเองอีกก็คือตัวของเป๊ปเองที่รู้ว่าจะมีวิธีในการดูแลเด็กคนนี้อย่างไร
เมื่อไรจะให้โอกาสลงสนาม เมื่อไรจะต้องดรอปไปอยู่บนม้านั่งสำรอง และเมื่อไรที่จะให้พัฒนาวิธีคิด วิธีการเล่นใหม่ๆ เพื่อยกระดับตัวเองขึ้นไปอีก
โดยที่แม้แต่ในฤดูกาลนี้โฟเดนเองก็ยังไม่ได้โอกาสในการลงสนามทุกนัด สถานะของเขาไม่ได้เป็นผู้เล่นที่ไม่สามารถแตะต้องได้เหมือนซูเปอร์สตาร์ทีมอื่น แต่เป็นนักเตะในอาณัติของเป๊ปที่จะพิจารณาว่าจะให้โอกาสลงเล่นเมื่อไรและในบทบาทไหน
จุดนี้เองที่ต้องให้เครดิตกับโฟเดนด้วยเช่นกัน เพราะการที่เชื่อฟังเป๊ป และพร้อมจะทำหน้าที่ทุกอย่างโดยไม่อิดออด ทั้งๆ ที่เริ่มปีกกล้าขาแข็งและสามารถต่อรองหรือเรียกร้องจากเจ้านายได้ แต่ก็ไม่เคยก่อเรื่องก่อราวที่ไม่ดีไม่งาม
ครั้งเดียวที่เจ้าหนูอัจฉริยะคนนี้ก่อเหตุคือตอนติดทีมชาติอังกฤษครั้งแรกและหนีแคมป์ไปกับ เมสัน กรีนวูด เพื่อนัดสาว ซึ่งก็โดนเป๊ปใช้ไม้เรียวฟาดเบาๆ เมื่อกลับมา โดยที่หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีเรื่องมีราวอะไรให้เสียหายอีก
โฟเดนคือ ‘นักเรียนที่ดีที่สุด’ ของเป๊ป ซึ่งสะท้อนได้จากวิธีการเล่น ที่เรียกได้ว่าหากไม่ใช่นักฟุตบอลที่มีความฉลาดในการเล่น (Intelligence) สูงที่สุดของพรีเมียร์ลีก ก็น่าจะนับว่าติด 1 ใน 3 ได้ไม่ยาก
เท้าซ้ายของเขามีทั้งความหนักแน่นและแม่นยำประหนึ่งไม้เท้าที่ร่ายคาถาได้ แต่สิ่งที่ทำให้โฟเดนหาตัวจับได้ยาก และไม่แน่ใจนักว่าจะมีใครไล่จับเขาได้คือการเล่นที่ฉลาดเป็นกรด ทั้งการเคลื่อนที่ การตัดสินใจ ทุกอย่างนำหน้าคู่แข่งอย่างน้อย 1-2 ก้าวเสมอ
สิ่งที่มีพัฒนาการขึ้นมาอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาคือเรื่องของจังหวะสุดท้าย (End Product) ไม่ว่าจะเป็นการยิงหรือการเปิดที่ถูกลับให้เฉียบคมมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งได้เห็นกันเต็มสองตากับ 2 ประตูที่ผ่านมือของ อังเดร โอนานา นายทวารแมนฯ ยูไนเต็ดที่เล่นได้ดีที่สุดนับตั้งแต่ย้ายมาจากอินเตอร์ มิลาน
และที่สำคัญคือตอนนี้โฟเดนเริ่มแสดงให้เห็นถึงความ ‘กระหาย’ ในการเล่น เรียกบอลมากขึ้น กล้าจะเล่นมากขึ้น กล้าตัดสินใจมากขึ้น อยากได้ชัยชนะมากขึ้น อยากได้แชมป์มากขึ้น
ทัศนคติแบบนี้คือทัศนคติของนักฟุตบอลที่สามารถจะก้าวไปสู่จุดสูงสุดของโลกได้
ในวันนี้ที่ เควิน เดอ บรอยน์ ยังยอดเยี่ยมและไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเขาโรยรานัก แต่แมนฯ ซิตี้มีโฟเดนที่ก้าวออกมาหน้าแถวแล้วบอกต่อทุกคนว่าเขาพร้อมแล้วที่จะรับช่วงต่อการเป็นนักเตะอันดับหนึ่งของทีม ไม่ว่าจะในอนาคตหรือแม้แต่ในตอนนี้ก็ตาม
โดยที่ตัวของเขาจะไปได้ไกลถึงไหนกันนั้น
เชื่อว่าแม้แต่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เองก็ตื่นเต้นและอยากจะรู้เหมือนกันว่ามาสเตอร์พีซที่แท้จริงของเขาชิ้นนี้จะสู้กับผลงานการสร้างสรรค์โดยธรรมชาติอย่าง ลิโอเนล เมสซี ได้แค่ไหนเมื่อถึงท้ายที่สุด
อ้างอิง: