วันนี้ (4 พฤศจิกายน) ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงข่าววิจารณ์ผลงานการประชุมเอเปคของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล โดยเฉพาะมาตรการปราบปรามสแกมเมอร์ว่า พรรคเพื่อไทยมองว่ารัฐบาลทำได้เพียงสร้างภาพ แต่ขาดการปฏิบัติจริง ปล่อยให้ปัญหากลับมาขยายตัว ทั้งที่รัฐบาลชุดก่อนสามารถลดความเสียหายลงได้กว่า 40% หรือราว 14,500 ล้านบาทต่อปี
ประเสริฐยังกล่าวว่า รัฐบาลเสียโอกาสในเวทีเอเปค โดยเลือกไปลงนาม MOU เรื่องแร่หายากกับสหรัฐฯ แทนที่จะผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง รัฐบาลไทยกลับไม่ใช้เวทีโลกอย่าง อาเซียน และ เอเปคผลักดันความร่วมมือเชิงรูปธรรมในเรื่องนี้
พรรคเพื่อไทยจึงขอข้อเสนอ 5 ข้อ เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการปราบสแกมเมอร์ภายใน 30 วัน ก่อนการยุบสภา ดังนี้
1.เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี รมว.ดีอี อ้างว่าถูกเสนอสินบน 40 ล้านบาท
2. การดำเนินคดีเครือข่าย Prince Group เช่นเดียวกับสิงคโปร์
3. การมุ่งเน้นไปที่การอายัดเงิน และระงับบัญชีม้า (ที่เคยทำได้กว่า 5 แสนบัญชี)
4. การรื้อฟื้นความร่วมมือ 3 ฝ่าย (ไทย-จีน-กัมพูชา) ควบคู่กับการใช้มาตรการ 3 ตัด (ตัดไฟ-ตัดอินเทอร์เน็ต-ตัดการขนส่งน้ำมัน) ตามแนวชายแดน
5. สานต่อยอดจากกลไกที่รัฐบาลเพื่อไทยเคยวางไว้ และจัดตั้งศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์นานาชาติระดับภูมิภาค สร้างบทบาทผู้นำให้ไทย และบูรณาการความร่วมมือกับอีกหลายประเทศ
“พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้รัฐบาลภายใต้การนำของอนุทิน หยุดเล่นการเมืองบนความมั่นคงของชาติ และให้เอาผลประโยชน์ของประเทศและพี่น้องประชาชนเป็นตัวตั้ง ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องทำจริง ไม่ใช่ทำตามกระแส เดินหน้ามาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติให้ถึงที่สุด ใช้เป็นยุทธศาสตร์หลักในการกดดันกัมพูชา ไม่ใช่เพียงแค่สร้างภาพเอาคะแนนนิยมทางการเมืองชั่วคราวเท่านั้น” ประเสริฐกล่าว
ศึกษิษฏ์ชี้ MOU แร่หายากสั่นคลอนความน่าเชื่อถือ
ด้าน ศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุว่า รัฐบาลมีนโยบายต่างประเทศที่ผิดพลาด สะท้อนการขาดวิสัยทัศน์และความไม่โปร่งใส โดยเฉพาะการลงนาม MOU ด้านแร่หายาก (Rare Earth) ที่แม้จะเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต แต่รัฐบาลกลับดำเนินการแบบปิดลับต่อประชาชน และประชาชนมาทราบเรื่องพร้อมกับฝ่ายสหรัฐฯ โดยไม่มีการเปิดเผยเอกสาร แผนป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือเปิดให้มีการถกเถียงถึงผลได้ผลเสีย
“ถ้าเอกสารที่ลงนามกับมหาอำนาจยังปิดเป็นความลับต่อประชาชน แล้วจะมีอะไรอีกที่รัฐบาลทำแบบลับๆ ล่อๆ โดยไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ” ศึกษิษฏ์กล่าว
ศึกษิษฏ์ยังกล่าวถึงท่าทีของรัฐบาลที่ระบุว่า ยกเลิก MOU ได้ทุกเมื่อ ว่าเป็นการส่งสัญญาณลบถึงความไม่มั่นคงทางนโยบาย และสั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ส่วนผลงานการประชุมเอเปค ศึกษิษฏ์ระบุว่า รัฐบาลพยายามแสดงผลงานเกินจริง ทั้งเรื่องการดึงดูดการลงทุน, โควต้าขายข้าวให้จีน หรือการเป็นเจ้าภาพประชุม World Bank–IMF ซึ่งล้วนเป็นเพียงการเดินตามรอยรัฐบาลเพื่อไทย ที่วางรากฐานไว้แล้ว ไม่ใช่ความสำเร็จใหม่
ศึกษิษฏ์กล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลไม่ได้เสนออะไรเป็นของตัวเอง แต่กลับได้ MOU ที่เต็มไปด้วยข้อสงสัย และพูดจาผูกมัดเรื่อง Entertainment Complex แทนที่จะแก้ปัญหาทุนสีเทา ซึ่งสะท้อนว่าวิสัยทัศน์ของผู้นำยังห่างไกลจากคำว่า ‘ผ่าน’
ทูตรัศม์ บอกอนุทินพลาดมหันต์ ปมคำพูด ‘ไทยล้ำเขมร’ ชี้เป็นอันตราย-กระทบจุดยืนชาติ
รัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แสดงความห่วงใยอย่างยิ่งต่อกรณีนายกรัฐมนตรี อนุทิน ให้สัมภาษณ์ที่มาเลเซียโดยระบุว่า “เขมรล้ำฝั่งไทย ไทยก็มีล้ำฝั่งเขมร” ซึ่งเป็นคำพูดที่อันตรายอย่างยิ่ง และไม่ควรออกจากปากผู้นำรัฐบาลในที่สาธารณะเด็ดขาด เพราะตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ คำกล่าวของนายกรัฐมนตรีสามารถถูกนำไปใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานในศาลได้ และถือเป็นการสะท้อนจุดยืนของรัฐไทยในทางการทูตโดยตรง
รัศม์ย้ำว่า ไม่เคยมีผู้นำไทยคนใดยอมรับว่าไทยล้ำเขตกัมพูชามาก่อน การแสดงความเห็นที่ขาดความรับผิดชอบเช่นนี้ ย่อมกระทบต่อท่าทีการเจรจาของฝ่ายไทย และเปิดช่องให้กัมพูชานำคำพูดนี้ไปอ้างต่อได้ในอนาคต ซึ่งจะลดทอนความแข็งแกร่งของจุดยืนไทย
“คำถามคืออนุทินฯ จะรับผิดชอบต่อความเสียหายนี้อย่างไร แค่ออกมาขอโทษเฉยๆ ไม่น่าจะเป็นสิ่งเพียงพอต่อความเสียหายระดับนี้ และที่สำคัญอะไรจะเป็นหลักประกันว่าจะไม่ทำให้เสียหายไปมากกว่านี้อีก ไม่ว่าทั้งไม่ได้จงใจ หรือจงใจ เพราะแค่ขอโทษคงไม่เพียงพอ เพราะนี่คือนโยบายการต่างประเทศของผู้นำ ที่ล้มเหลวผิดพลาด” รัศม์กล่าว


            
                                        
                                            
                                                
                                                    
                                                        
                
                
                
                
                
                