วันนี้ (25 กันยายน) ที่อาคารรัฐสภา พรรคเพื่อไทย นำโดย ชูศักดิ์ ศิรินิล สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยชูศักดิ์กล่าวว่า วันนี้พรรคเพื่อไทยซึ่งประกอบไปด้วย สส. 113 คน ได้ร่วมกันยื่นญัตติเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หมวด 15 ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม เพื่อให้มีการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้ประธานรัฐสภา เพื่อนำญัตตินี้บรรจุลงระเบียบวาระต่อไป
ชูศักดิ์ย้ำว่า การนําเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งนี้ จัดทําโดยการคํานึงถึง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ว่ามีข้อห้ามกี่ข้อต้องพิจารณาอย่างไรบ้าง รวมถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากเราไม่ดําเนินการตาม ท้ายที่สุดประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย มีคนไปยื่นคําร้อง และทําให้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ประสบความสําเร็จตามที่เราตั้งใจ และในอดีตที่ผ่านมา เราเคยยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยกระบวนการสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มาแล้วหลายครั้ง เนื่องจากเราคิดว่าการมีคนมาร่างรัฐธรรมนูญ โดยกระบวนการ สสร.นั้น เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน
ชูศักดิ์กล่าวอีกว่า จริงๆ แล้วการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังไม่เริ่มต้น การที่เรายื่นคําร้องญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในวันนี้ เป็นการเพิ่มเติม ถ้าผ่านวาระ 3 เข้าสู่การทำประชามติแล้ว ประชาชนเห็นชอบ จึงจะนํามาประกาศใช้ และเมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมแล้วจึงจะทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เริ่มขึ้น
สำหรับสาระสำคัญของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องการคัดเลือก สสร. อีกว่า จะมาจาก 2 ส่วน คือ ให้มี สสร.จํานวน 100 คน โดยรัฐสภาเป็นผู้เลือก จากการที่ประชาชนเลือกมาทั้งหมด 300 คน ซึ่ง มีหลักประกันว่า ในหนึ่งจังหวัดต้องมี สสร. อย่างน้อยหนึ่งคน เพื่อป้องกันการบล็อกโหวต การฮั้วกัน พร้อมเสนอให้องค์กรทั้งหลายที่อยู่ในสังคม ทั้งองค์กรรัฐ เอกชน หรือองค์กรที่ให้ความเห็นเสนอแนะรัฐบาลต่างๆ ให้มีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ จึงให้องค์กรวิชาชีพ และสภาวิชาชีพต่างๆ รวมไปถึงมหาวิทยาลัย สภานิสิตนักศึกษา เข้ามามีส่วนร่วมด้วย โดยจะให้องค์กรเหล่านี้เลือกเสนอชื่อบุคคลเข้ามาเอง ซึ่งท้ายที่สุดคาดว่าจะได้บุคคลที่มาเป็น สสร. ประมาณ 51 คน รวมสองส่วน 151 คน
อย่างไรก็ดี ขอฝากเป็นข้อสังเกตว่า น้อยที่สุดร่างที่นําเสนอไปนี้ ต้องทําให้เสร็จสิ้นในวาระ 3 ก่อนที่จะมีการยุบสภา ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมจึงจะสามารถเดินไปได้
“พรรคการเมืองทั้ง 3 พรรค และกรรมาธิการที่จะตั้งขึ้นคงมีภารกิจที่สําคัญอย่างยิ่ง ชนิดที่ว่าไม่มีเวลาไปทําอะไรเลย นอกจากจะยกร่างให้เสร็จภายในวาระสาม เพราะประสบการณ์ที่ผมมีมา ไม่เคยมีการพิจารณาวาระ 1 2 และ 3 ให้เสร็จภายใน 4 เดือน เป็นเรื่องยากมากๆ บางฉบับใช้เวลา แค่กฎหมายธรรมดา ก็ 8-9 เดือน” ชูศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม เราตั้งใจจะทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 2560 มีปัญหาหลายด้าน ทุกคนก็เห็นอยู่แล้ว รัฐบาลที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในขณะนี้ บทชัดเจนที่สุดก็เป็นผลพวงจากรัฐธรรมนูญ 2560 ประเทศไทยหยุดอยู่กับที่ก้าวเดินไม่ได้สักที ก็เพราะอุปสรรคจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้
ส่วนข้อเสนอของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ว่าให้พรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย ถอนร่างออกมา ทําเป็นร่างเดียวกัน จากการลงนามใน MOA ร่วมกัน ก็ควรทําให้มีทิศทางเดียวกัน ชูศักดิ์กล่าวว่า เป็นความเห็นของณัฐวุฒิเอง ส่วนตัวเราเดินมาขนาดนี้แล้ว ก็ตอบอยู่ในตัวแล้วว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ขณะนี้เมื่อเรายื่นร่างแก้ไขแล้ว ก็แสดงว่าเรายืนของเราแนวนี้ คงต้องไปถามทั้ง 2 พรรคนั้น เราไม่วิจารณ์
ส่วนทั้ง 3 พรรคการเมืองได้มีการจัดตั้งกลุ่มที่จะไปพูดคุยโน้มน้าวกับ สว. หรือไม่ ชูศักดิ์ระบุว่า ดูบรรยากาศในท้ายที่สุดคิดว่า กระแสสังคมมาถึงขนาดนี้ พรรครัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน ใครต่อใครก็เอาด้วยหมด ก็ต้องไปดูว่าเขาคิดอย่างไร เราคงไม่ไปจัดตั้งอะไร เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ทุกคนคงคิดได้
