วันนี้ (6 กันยายน) จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวเรื่องช่องทางการจ่ายเงินในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตว่า
พรรคเพื่อไทยยืนยันว่านโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) จะเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งถูกพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากเทคโนโลยีแบบเดิม เพื่อประโยชน์ของการพัฒนาประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
สำหรับนโยบายนี้ พรรคเพื่อไทยได้นำเสนอไว้เมื่อครั้งหาเสียงการเลือกตั้งว่า ต้องการ ‘หยิบเงินในโลกยุคใหม่ใส่มือประชาชน’ โดยการเตรียมพร้อมประเทศและประชาชนให้เข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยมีมาตรการหลายๆ อย่างที่จะดำเนินการไปพร้อมกัน
แต่เนื่องจากสภาพปัจจุบันที่การแข่งขันทางเศรษฐกิจเราเดินตามไม่ทันประเทศเพื่อนบ้าน เราจึงต้อง ‘ปั๊มหัวใจ’ ของประชาชนเป็นอันดับแรก จึงเสนอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ‘ใช้จ่ายใกล้บ้านด้วยกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet)’ โดยมีรายละเอียดระบุว่า
- คนไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป จะได้ ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ (Digital Wallet)
- กระเป๋าเงินดิจิทัลจะมีอายุการใช้งาน 6 เดือนสำหรับจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุขโดยเฉพาะยาเสพติดและการพนัน และไม่สามารถซื้อของบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้
- เงินดิจิทัลนี้จะใช้จ่ายได้เฉพาะร้านค้าชุมชนและบริการที่ ‘อยู่ในรัศมี 4 กิโลเมตร’ เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและกระจายรายได้สู่ชุมชน ส่วนในพื้นที่ห่างไกลจะมีการพิจารณาเป็นกรณีด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน
- ร้านค้าสามารถนำเงินดิจิทัลมาแลกเป็นเงินบาทกับธนาคารในโครงการได้ในภายหลัง
- เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลในระยะยาว เพื่อนำประเทศเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางของฟินเทค
- กระเป๋าเงินดิจิทัลคือเหรียญ (คูปอง) หรือสิทธิ์การใช้เงิน ไม่ใช่คริปโตเคอร์เรนซี ไม่ใช่เงินสกุลใหม่ แต่เป็นเหรียญ (คูปอง) หรือสิทธิ์การใช้เงินที่ใช้บล็อกเชน เขียนเงื่อนไขลงไปในนั้นเพื่อนโยบายการคลังที่ตรงจุด ไม่มีความเสี่ยง ไม่มีการเก็งกำไร ไม่มีการถูกทุบ ไม่มีการขาดทุน ไม่สามารถแลกเปลี่ยนด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นได้ ไม่มีราคาตก-ราคาขึ้น เพราะทุกเหรียญมีค่าเท่าเงินบาทเสมอ รับประกันโดยรัฐบาล
- กระเป๋าเงินดิจิทัลใช้ระบบบล็อกเชน มีความปลอดภัยสูงสุด สูงกว่าระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน รู้เส้นทางการเงินทุกธุรกรรม รู้ผู้รับ รู้ผู้จ่าย เป็นระบบที่มีความโปร่งใสสูงสุด ตรวจสอบได้ทุกธุรกรรม
- ทุกบาททุกสตางค์ที่ใช้จ่ายไปจะหมุนเวียนเข้ามาเป็นภาษีของรัฐบาล เพื่อนำเงินไปสนับสนุนประชาชนให้มีชีวิตที่ดีขึ้น