วันนี้ (26 พฤศจิกายน) ที่อาคารรัฐสภา ชูศักดิ์ ศิรินิล สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นพ. ชลน่าน ศรีแก้ว สส. น่าน และ จาตุรนต์ ฉายแสง สส. แบบบัญชีรายชื่อ ร่วมกันแถลงข่าวในนามของคณะกรรมาธิการฯ สัดส่วนพรรคเพื่อไทย
ชูศักดิ์ระบุว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้ข้อสรุปสาระสำคัญของร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่จะนำสู่การพิจารณาของรัฐสภาในวาระ 2 และ 3 ทุกครั้งกรรมาธิการของพรรคเพื่อไทยก็ให้ความสนใจร่วมประชุมโดยตลอด และวันนี้จะได้สรุปการแปรญัตติของกรรมาธิการของพรรคเพื่อไทยในหลายประเด็นด้วยกัน เพื่อนำไปสู่การอภิปรายในรัฐสภาวันที่ 10-11 ธันวาคมนี้
ชูศักดิ์กล่าวว่า ประเด็นแรกคือ ที่ประชุมกรรมาธิการฯ ไม่ได้นำเอาประเด็นเรื่องสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่พรรคเพื่อไทยเคยเสนอเข้าสู่การพิจาณา กรรมาธิการของพรรคเพื่อไทยจึงสงวนความเห็นว่า ขอให้มี สสร. ตามร่างที่เราเคยนำเสนอ เพราะเห็นว่าจะเป็นคำตอบของสภาที่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เราเชื่อว่า สสร. จะทำหน้าที่ได้ดีกว่ามีเพียงกรรมาธิการ
“สสร ที่เสนอโดยพรรคเพื่อไทยให้มีการเลือกตั้งโดยประชาชนมา 300 คน รัฐสภาคัดเลือกให้เหลือ 100 คน เป็นสสร. จากนั้น สสร. จะตั้งกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา”
ชูศักดิ์กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่ 2 เมื่อกรรมาธิการฯ ไม่เห็นชอบให้มี สสร. และกำหนดให้มีกรรมาธิการ 2 ประเภท คือกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และกรรมาธิการรับฟังความเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน กรรมาธิการชุดละ 35 คน แต่เราเห็นว่า เขาตัดการเลือกตั้งโดยประชาชนออก จึงไม่เป็นประชาธิปไตย และไม่ยึดโยงกับประชาชน การให้รัฐสภาคัดเลือกโดยตรงด้วยระบบ 20 หยิบ 1 เสี่ยงทำให้ในที่สุดผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้น จะเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญของรัฐสภาเสียงข้างมาก เราจึงได้สงวนความเห็นในประเด็นนี้ไว้ด้วย
“แทนที่จะใช้ 20 หยิบ 1 ทั้งหมด เราเสนอให้มาจากรัฐสภาเพียง 25 คน จึงต้องใช้สูตรคำนวณ 28 หยิบ 1 แต่ที่เหลืออีก 10 คนให้มาจากการแต่งตั้งโดยผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ ให้เป็น 35 คน เพราะเราต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถมาถ่วงดุลในกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เป็นกรรมาธิการของรัฐสภาเสียทั้งหมด ส่วนคณะกรรมาธิการรับฟังความเห็นฯ ก็ใช้วิธีแบบเดียวกัน คือให้มาจากการคัดเลือกขององค์กร หรือสมาคมต่างๆด้วย 10 คน” ชูศักดิ์กล่าว
ชูศักดิ์เชื่อว่า สสร. วิธีนี้ ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ได้เป็นการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง แต่ให้ประชาชนเสนอตัวเป็นผู้สมัคร แล้วให้รัฐสภาหยิบมาให้เหลือ 100 คน ตรงกันข้าม หากเราตัดประชาชนออกจากกระบวนการเหล่านี้ อาจทำให้ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แก้รายละเอียดป้องกันเสียงข้างมากครอบงำ
ด้าน นพ.ชลน่านกล่าวว่า ในหลักการที่คณะกรรมาธิการสัดส่วนพรรคเพื่อไทยวางไว้ คือการสงวนความเห็นในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม แบ่งเป็น 2 ลักษณะใหญ่ คือ 1.หลักการใหญ่โดยรวม เช่น องค์กรผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่เราเห็นต่างกับกรรมาธิการส่วนใหญ่ชัดเจน บวกกับมาตราที่ต่อเนื่อง และ 2.เป็นการสงวนความเห็นหลายประเด็น หลายมาตรา กับที่ร่างกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว แต่เราเห็นควรว่าควรเห็นด้วยอย่างอื่น
เราจึงเสนอสงวนความเห็น ดังนี้ เรื่องที่มาของผู้เป็นกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ และกรรมาธิการรับฟังความเห็นฯ ซึ่งมีที่มาจะแตกต่างกับร่างของกรรมาธิการ แต่ส่วนของตนคือมีลักษณะเป็นการทั่วไป ตามความเชี่ยวชาญ และแบ่งสัดส่วนชัดเจน คือ คุณสมบัติทั่วไป 20 คน และผู้เชี่ยวชาญสาขาวิชาต่างๆ อีก 15 คน
ส่วนกรณีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ในสัดส่วนกรรมาธิการยกร่างฯ และกรรมาธิการรับฟังความเห็นฯ นั้น กรรมาธิการทำร่างแบบเปิดกว้างให้มีเฉพาะเรื่องสัญชาติการเกิด คือสัญชาติไทย มีอายุ 18 ปีขึ้นไป แต่ส่วนตัวเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสําคัญ การกําหนดถิ่นที่อยู่ภูมิลําเนามีผลสําคัญ จึงขอสงวนความเห็นไว้ว่า ผู้ที่จะเข้ามาเป็นจะต้องมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยหรือมีทะเบียนบ้านในประเทศไทยที่ตรวจสอบได้ แม้ตัวอยู่ต่างประเทศ แต่ต้องมีทะเบียนบ้านในประเทศ เพื่อเป็นหลักประกันในการตรวจสอบ เรื่องความเป็นอยู่ และที่มาที่ไป ความรับผิดรับผิดชอบที่เกิดขึ้น จะต้องติดตามได้
สำหรับการคัดเลือกกรรมาธิการของรัฐสภา เพื่อให้ได้มาซึ่งกรรมาธิการ สูตร 20 หยิบ 1 นั้น เราเห็นภาพแล้วว่า อนาคตรัฐธรรมนูญจะเกิดขึ้นอย่างไร หากผ่านวาระ 2 เราพอเห็นเงาแล้วว่า กรรมาธิการ 35 คนนั้น จะถูกเสมือนจัดตั้งในระบบรัฐสภาชุดหน้า และเห็นภาพว่าใครคุมเสียงข้างมาก ซึ่งเสียงข้างมากก็ย่อมเลือกกรรมาธิการยกร่างฯ ในสัดส่วนที่เป็นกรรมาธิการเสียงข้างมากได้เช่นกัน แม้มีเพียงแค่ 20 คน ก็สามารถกําหนดเกณฑ์วิธีการเขียนรัฐธรรมนูญด้านใดด้านหนึ่งได้อยู่แล้ว
“เราจึงเป็นห่วง และเป็นที่มาที่ผมจะสงวนความเห็น ให้เลือกจากรัฐสภาโดยการลงคะแนนจากเกณฑ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่แสนยากนี้มาใช้ ซึ่งมีหลักการว่า ทุกภาคส่วนของสมาชิกรัฐสภาต้องให้ความเห็นชอบ คือมีเสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่ง และต้องมี สว. เห็นชอบด้วยในกึ่งนั้น แต่ข้อเสนอของผม ใช้แค่ 1 ใน 5 หรือคือ 40 คน และสัดส่วนฝ่ายค้านอีกไม่น้อยกว่า 20% มาเลือก 1 คน เชื่อว่า เสียงข้างมากไม่สามารถครอบงําชี้นําได้ ถ้า สส. สว. ตามสัดส่วนดังกล่าวไม่เห็นด้วย ก็จะไม่มีทางได้เป็น” นพ. ชลน่านกล่าว
นพ. ชลน่านยังเสนอประเด็นการให้ความเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของที่ประชุมรัฐสภา เมื่อกรรมาธิการยกร่างฯ เสร็จแล้ว ให้ส่งมาให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ ถ้าเห็นชอบแล้ว ก็ส่งร่างนั้นไปทําประชามติเลย แต่หากพิจารณาแล้วยังมีสิ่งควรแก้ไข รัฐสภาก็ส่งสิ่งที่ควรแก้ไขไปให้กรรมาธิการยกร่างฯ พิจารณาแก้ไข แล้วส่งกลับมาให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง
ประเมินเนื้อหา-ท่าทีหลังวาระ 2 จะได้ รธน. ยึดโยงประชาชนหรือไม่
ขณะที่ จาตุรนต์ระบุว่า ในขณะนี้เราเห็นปัญหา เราก็จะไปทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการพิจารณาวาระ 2 คืออภิปรายให้ที่ประชุมรัฐสภา เห็นว่า ปัญหาคืออะไรและมีทางออกอย่างไร เมื่อพิจารณาวาระ 2 เสร็จแล้วจึงจะเห็นแนวโน้มว่า รางแก้ไขรัฐธรรมนูญควรให้ประชาชนมีส่วนร่วมและมีเนื้อหา ที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นนั้นจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ มีเงื่อนไข 2 ข้อ
ประกอบด้วย เนื้อหาสุดท้ายจะออกมาอย่างไร และท่าทีของสมาชิกรัฐสภาส่วนต่างๆ ได้แสดงความเห็นในมาตราสำคัญๆ ไว้อย่างไร จึงจะมีแนวโน้มให้เห็นได้ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาหรือไม่ เราต้องการให้พิจารณาอย่างรอบคอบจริงจัง ใช้เหตุผล หลักการของเราคือ ต้องการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีเนื้อหาเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ส่วนการสงวนคำแปรญัตติ ได้มีการประเมิน หรือไม่ว่าจะมีโอกาสชนะหรือไม่ จาตุรนต์มองว่า มีโอกาสชนะและไม่ชนะ เพราะข้อเสนอมีความหลากหลายมาก บางเรื่องก็เห็นชัดว่ากรรมาธิการในส่วนของพรรคใหญ่มองตรงกัน หากยังยันยืนยันตามที่สงวนนั้น แล้วเสียงของส่วนอื่นไม่มากกว่า บางเรื่องก็อาจจะกลายเป็นสิ่งที่เราสงวนเป็นฝ่ายเสียงข้างมากก็ได้ โดยผลการพิจารณาในวาระสอง จะเป็นผลต่อการตัดสินใจของสมาชิกพรรค ว่าจะลงมติอย่างไร ในวาระ 3


