วานนี้ (29 พฤษภาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ วาระพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2569 พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส. สมุทรปราการ พรรคประชาชน อภิปรายถึงงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ว่า สตช. เป็นหน่วยงานภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้ได้รับการจัดสรรวงเงินงบประมาณสูงถึง 1.25 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,433 ล้านบาท สูงกว่ากระทรวงแรงงานทั้งกระทรวง แต่ภาพรวมยังมีการบริหารงบประมาณแบบบนลงล่างเหมือนเดิม ปัญหาเดิมไม่ถูกแก้ไข แต่ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้นทุกวัน
โดยอุปสรรคในการทำงานของตำรวจไทยคือปัญหาการคอร์รัปชันผ่านระบบงบประมาณภายใน สตช. ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายปฏิบัติงานและประชาชน เพราะเมื่อเรามาดูกันดีๆ แล้ว จะพบว่าสาเหตุของปัญหานั้นไม่ใช่วิกฤตที่เกิดขึ้นจากการขาดงบประมาณ แต่เป็นเพราะวิกฤตการขาดประสิทธิภาพในการจัดสรรงบประมาณและระบบโครงสร้างที่เอื้อให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน
“ทั้งการจัดสรรงบประมาณที่ไม่ตอบโจทย์ภารกิจ งบดำเนินงานที่ซ้ำซ้อน กระจัดกระจายในหลายโครงการ เช่น งบลงทุนที่เอาไปทุ่มซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ และก่อสร้างอาคารต่างๆ แถมยังขาดกลไกประเมินผลที่เป็นอิสระ โปร่งใส จนท้ายที่สุดกระทบต่อทั้งความรู้สึกปลอดภัย และการให้ความร่วมมือในกระบวนการยุติธรรมซึ่งส่งผลให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในวงการสีกากี”
พนิดาให้คำจำกัดความเรื่องราวทั้งหมดนี้ว่า งบบวม เพราะโครงสร้างซ้ำซ้อน สุดท้ายตำรวจพัง โดยจะขอเริ่มจากงบดำเนินงานในโครงสร้างระดับล่างที่ซ้ำซ้อน ตรวจสอบยาก นั่นคืองบเบี้ยเลี้ยงที่กระจัดกระจายอยู่ในโครงการต่างๆ ซึ่งหากนับรวมทั้งหมดแล้วจะพบว่ามีสูงถึง 4,370 กว่าล้านบาท แถมยังจัดสรรมาเท่ากันทุกปี ทั้งที่จำนวนตำรวจปีนี้ลดลงจากปีก่อน เกือบ 5 พันนาย ซึ่งเมื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นปฏิบัติการในโรงพักต่างๆ ก็พบว่าไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยงครบถ้วน ได้รับล่าช้า หรือเบิกจ่ายในระบบไปแล้วขอทอนคืน จะเห็นว่าระบบการจ่ายเบี้ยเลี้ยงนั้นเป็นการเปิดช่องว่างให้มีการหักหัวคิวกันเป็นทอดๆ จำนวนยอดที่ได้รับจริงไม่ตรงกับที่ควรจะได้ บางที่ขึ้นอยู่กับว่าในการเบิกจ่ายงบรอบนั้นๆ แต่ละสถานีเหลือเงินเท่าไหร่แล้วมาหารเฉลี่ยกัน บางครั้งก็มีเบิกจ่ายในระบบแล้วเรียกเงินทอน และบางที่เบี้ยเลี้ยงก็ไม่ได้มาสิ้นเดือน เพราะตกเบิกไปไม่รู้กี่เดือนต่อกี่เดือน
“ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้แปลว่างบเบี้ยเลี้ยงที่ได้รับจัดสรรมานั้น ไม่ตรงกับปริมาณการทำงาน ไม่สามารถนำมาใช้เป็นตัวแปรในการคำนวณอัตราการป้องกันและปราบปรามการเกิดคดีอาชญากรรมในพื้นที่นั้นๆ ได้”
พนิดากล่าวอีกว่า แม้ว่าเราจะเห็นการประกาศนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ว่ามีการเอาจริงเรื่องห้ามมีการทุจริตเรื่องเบี้ยเลี้ยง และกำชับให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด แต่ก็ยังไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมของแนวทางการจัดการปัญหานี้ ปัจจุบันก็ยังไม่มีระบบติดตามงบที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงปัญหาเรื่องงบค่าน้ำมันเช่นกัน ที่แม้ในเอกสารจะเห็นว่าได้รับเพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่เมื่อไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ชั้นปฏิบัติการ กลับไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างอะไร ตำรวจบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้งบน้ำมันเพิ่ม เห็นได้ชัดว่ามีความผิดปกติ จนล่าสุดสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ต้องส่งหนังสือถึง ผบ.ตร.เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบการใช้งบประมาณค่าน้ำมันของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) แต่ก็ยังไปไม่ถึงไหน
“ดิฉันมีข้อเสนออยากฝากไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อหยุดวงจรทำนาบนหลังคนกับงบสวัสดิการตำรวจเช่นนี้ โดยพัฒนาแอปพลิเคชันแทนใจที่ตำรวจใช้เช็กยอดรายรับ ให้มีการระบุเพิ่ม ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าตอบแทนพิเศษ ค่าน้ำมัน โอที และสวัสดิการต่างๆ จากแต่ละโครงการ รวมถึงระบุในใบแสดงรายรับตำรวจเช่นกัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนและตรวจสอบย้อนกลับได้ คนทำงานก็สามารถตรวจสอบรายรับทุกยอดของตัวเองได้แบบเรียลไทม์ ป้องกันการหักหัวคิว ที่ผ่านมาท่านนายกรัฐมนตรีเคยพูดเองว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่ปกป้องชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน ชีวิตความปลอดภัยและสวัสดิภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน เมื่อท่านพูดเองกับปากแล้วก็อยากให้ช่วยลงมือทำอย่างเอาจริงเอาจังให้พี่น้องตำรวจและประชาชนเห็นหน่อย” พนิดากล่าว
พนิดากล่าวต่อไปว่า งบดำเนินงานในโครงสร้างระดับบนที่ซ้ำซ้อนคือ โครงสร้างหน่วยงาน โดยตนขอยกตัวอย่างที่เป็นส่วนสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ที่แม้ตั้งขึ้นมาโดยเจตนาดีคือเพื่อบูรณาการการทำงาน แต่ในทางปฏิบัติกลับซ้ำซ้อนกับโครงสร้างหลักเดิม และส่งผลให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรอย่างไม่เป็นธรรม และเบียดบังงบประมาณจากหน่วยที่ควรได้รับจริง เช่น กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ที่มีภารกิจเฉพาะในการดูแลนักท่องเที่ยว แต่ในทางปฏิบัติ กลับมีภารกิจซ้ำซ้อนกับตำรวจโรงพัก เพราะถึงแม้จะพบเจอเหตุอาชญากรรมซึ่งหน้าก็ไม่สามารถทำสำนวนคดีได้ ต้องพาไปโรงพักอยู่ดี
“ฉะนั้น ดิฉันขอตั้งคำถามง่ายๆ ว่าทำไมเราจึงไม่รวมอยู่ในที่เดียวกันไปเลย แล้วเพิ่มอัตรากำลังนายตำรวจที่ต้องการให้มีทักษะพิเศษเพิ่มเติมเอาในพื้นที่จุดท่องเที่ยวสำคัญๆ เราจะตั้งกองบัญชาการใหม่ขึ้นมาทำไมให้เทอะทะ ซึ่งยังไม่รวมอาคารอำนวยการอื่นๆ ของกองบัญชาการเหล่านี้ที่ไม่รู้มีอีกเท่าไหร่ มั่นใจว่าบางทีไม่มีคนใช้งานจริง ฉะนั้น จึงขอเสนอปรับโครงสร้างและออกแบบระบบการทำงานใหม่ดีหรือไม่ รวมจุดบริการนักท่องเที่ยวไว้ที่เดียวในสถานีตำรวจหลักของพื้นที่ นำข้อมูลการดำเนินงานของตำรวจท่องเที่ยวไปรวมกับฐานข้อมูล สภ. ในพื้นที่ แล้วมาบูรณาการทำงานร่วมกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนและใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด” พนิดากล่าว
พนิดากล่าวด้วยว่า ขณะที่ปัญหาโครงสร้างที่ขาดแคลนกันคือ แม้ในปี 2569 จะมีงบผลิตตำรวจ 700 ล้านบาท ซึ่งจริงๆ ก็เท่ากับทุกปีที่ผ่านมา รัฐบาลจัดงบเหมือนไม่เห็นปัญหาพนักงานสอบสวนที่กำลังขาดแคลนแสนสาหัส โดยหากอ้างจากสถิติปี 2566 จะเห็นว่ามีงาน 12,258 ตำแหน่ง แต่มีคนทำงานจริงเพียงแค่ 5,331 คนเท่านั้น มีที่ว่างอยู่ สูงถึง 6,927 ตำแหน่ง หายไปครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งแปลว่าพนักงานสอบสวนหนึ่งคน กำลังทำงานสำหรับคนสองคนอยู่
“นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยในสายตาประชาชนไปได้ไกลแค่โหนกระแส อย่างไรก็ตาม แม้เราจะเห็นว่ามีการเปิดรับพนักงานสอบสวนใหม่ แต่พนักงานสอบสวนใหม่กลับรออบรมอยู่เป็นจำนวนมาก ยังทำงานไม่ได้ เพราะศูนย์ฝึกไม่ว่าง จึงอยากให้นายกรัฐมนตรีมาช่วยตอบชัดๆ ว่างบผลิตตำรวจกว่า 700 ล้านบาทไม่เพียงพอให้เรามีระบบผลิตตำรวจที่ดีได้หรือ”
อีกทั้งงบก่อสร้างอาคารปีละ 6,000 กว่าล้านบาทนั้น ไม่สามารถทำให้เรามีศูนย์ฝึกที่เพียงพอต่อการผลิตนายตำรวจที่เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด รวมถึงอยากให้นายกรัฐมนตรีมาตอบชัดๆ ด้วยว่าปีนี้เราจะผลิตพนักงานสอบสวนเพื่อไปรับใช้ประชาชนได้กี่นาย และอีกกี่ปีเราจะสามารถทำให้มีคนทำงานได้เต็มอัตรา เพราะแทนที่จะให้ความสำคัญกับการสร้างคนทำงานมากกว่านี้ สตช.ที่คุมโดยนายกรัฐมนตรีกลับไปให้ความสำคัญกับการสร้างตึก ซึ่งงบก่อสร้างอาคาร สตช.สูงที่สุดของทุกหน่วยงาน คิดเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ของงบก่อสร้างอาคารทั้งหมดในประเทศ ซึ่งเป็นงบที่กระจายอยู่ในโครงการต่างๆ ทั้งสร้างโรงพัก ที่พักตำรวจ และโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่พิเศษอื่นๆ ที่มีภาระงบผูกพันหลายปี
พนิดากล่าวด้วยว่า หากถามถึงความคุ้มค่า ความจำเป็น และความโปร่งใสในการใช้งบประมาณ เราก็จำเป็นต้องยกตัวอย่างความอัปยศที่คนไทยจำได้ดีที่สุดคือมหากาพย์การฮั้วประมูลการสร้างสถานีตำรวจทั่วประเทศ 396 แห่ง และแฟลตตำรวจ 163 หลัง มูลค่า 5,848 ล้านบาท แม้ศาลสั่งเอกชนชดใช้ค่าเสียหายให้ สตช. 1,500 ล้านบาท มีการของบประมาณที่เป็นภาษีประชาชนทำต่อจนเรียบร้อยบ้าง ปัจจุบันได้สร้างเสร็จเปิดใช้งานแล้วบ้าง แต่ความเสียหาย 5,000 กว่าล้านที่เกิดขึ้น ใครต้องมารับผิดชอบ ฉะนั้น จึงขอเสนอไปยังนายกรัฐมนตรีให้มีการตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบโครงการก่อสร้างย้อนหลังทุกโครงการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในรอบ 10 ปี และเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างทุกระดับเพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการใช้งบประมาณ
พนิดากล่าวอีกว่า ต่อมาคือปัญหาโครงสร้างงบและโครงสร้างองค์กรที่ทำให้งบดำเนินงานบวมไปหมด พอไปดูงบลงทุนยิ่งแล้วใหญ่ เพราะงบลงทุนทั้งหมดของ สตช. มีจำนวนมากถึง 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งมากกว่างบของหลายกระทรวง แต่เมื่อไปดูไส้ในกลับเอาแต่ทุ่มกับโครงการก่อสร้างที่ไม่ตอบโจทย์ นอกจากนี้ ยังมีงบลงทุนจัดซื้อครุภัณฑ์ ที่ปีนี้มีสูงถึง 1 หมื่นล้านบาท โดยรายการที่น่าสนใจคือ งบซ่อมบำรุงอากาศยาน จำนวนเงิน 950 ล้านบาท ที่แปลกจนต้องยกมาพูดคือข้อมูลจาก Thai Armed Force ระบุว่ากองบินตำรวจดำเนินการซ่อมด้วยการเอาเงินไปจ้างการบินไทย ส่วนไหนที่การบินไทยซ่อมได้ก็ซ่อมเอง ส่วนไหนที่ไม่สามารถซ่อมได้ ก็จะจ้างบริษัทเอกชนหรือกึ่งรัฐวิสาหกิจให้ซ่อมต่ออีกทอดหนึ่ง จ้างต่อกันเป็นทอดๆ ที่น่าสงสัยคืองบก้อนนี้ตั้งมาเท่าเดิมทุกปี มีการรั่วไหลทอนกันในกระบวนการไหนหรือไม่ และว่ากันด้วยความสมเหตุสมผลคือเราจะซ่อมอะไรราคาเท่ากัน หรือคิดง่ายๆ หากเทียบกับตัวเอง มีใครจ่ายค่าซ่อมรถเป็นจำนวนเงินเท่ากันเป๊ะๆ ทุกปีหรือไม่
พนิดากล่าวว่า ล่าสุดที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่ไม่ควรเกิดขึ้น ที่มีเหตุอากาศยานของกองบินตำรวจตก และล่าสุดไม่กี่วันที่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น นักบินทราบดีอยู่แล้วว่าเครื่องบินมีปัญหา และเคยมีรายงานความผิดปกติของเครื่อง จนหมุนขูดพื้นเป็นรอย สตช. เคยได้ทำการซ่อมแซมอย่างจริงจังหรือไม่ ถ้าซ่อมแล้วใครเป็นตรวจรับ ท่านปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับคนในองค์กรตัวเองได้อย่างไร ท่านเอาเครื่องบินที่แทบจะใช้การไม่ได้มาให้เขาขึ้นบินได้อย่างไร ทั้งที่มีงบประมาณในการซ่อมปีละเกือบพันล้านบาท และขอเสนอให้กรรมาธิการเรียกเอกสาร Aircraft Maintenance Log Book บันทึกประวัติการใช้งานและซ่อมบำรุงของอากาศยานทุกลำในกองบินตำรวจมาตรวจสอบว่าที่ผ่านมางบปีละเกือบพันล้านที่ สตช. ได้ไปนั้น เอาไปใช้ทำอะไรกันแน่ และหากกรณีนี้มีการทุจริตต้องเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้ เพื่อให้นี่เป็นเคสสุดท้าย อย่าให้ใครมาตาย เพราะเหตุที่สามารถป้องกันได้แบบนี้อีกเลย
“ปัญหาของตำรวจ ไม่ใช่งบน้อย แต่คือระบบที่กินงบประมาณมากเกินไป เปิดโอกาสให้มีการกินเล็กกินน้อย งบรั่วไหล ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ไม่ตอบโจทย์เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ไม่ตอบสนองประชาชนผู้เสียภาษี และไม่มีกลไกตรวจสอบถ่วงดุลจากภายนอกที่โปร่งใส นายกรัฐมนตรีสอบตกในการคุมตำรวจ ทั้งด้านประสิทธิภาพการทำงาน การใช้จ่ายงบประมาณที่คุ้มค่า และการใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรม ดิฉันติดตามการทำงานของตำรวจมาตลอด 3 ปี ด้วยความปรารถนาดีต่อองค์กรท่าน เพราะท่านคือที่พึ่งของประชาชน ซึ่งหากยังคงดำเนินการในรูปแบบนี้ต่อไป วงการสีกากีไทยมีแต่เจ๊งกับเจ๊ง ดิฉันจึงไม่อาจเห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ฉบับนี้ได้ เพื่อให้ท่านไปปรับปรุงงบประมาณใหม่ เพราะนี่คือโอกาสสุดท้าย ก่อนตำรวจไทยจะพังจริง” พนิดากล่าว