วันนี้ (2 ธ.ค.) นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า หนึ่งในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีต้องเป็น พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะส่วนตัวก็สนับสนุนท่านอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ก็ต้องหารือกันอีกครั้งว่ารายชื่ออื่นจะมีใครอีกบ้าง
นายสุวิทย์ยังได้กล่าวถึงการแบ่งเขตการเลือกตั้งของ กกต. ว่าไม่เอื้อผลประโยชน์ต่อพรรคใดพรรคหนึ่ง และไม่เกี่ยวกับพลังดูด เชื่อว่าจะไม่เป็นชนวนการเลื่อนเลือกตั้ง
“การแบ่งเขตการเลือกตั้งมีผลกระทบเชิงบวกเชิงลบกับทุกพรรค ส่วนตัวเน้นนโยบายเป็นสำคัญ ไม่ได้ดูเฉพาะแค่การแบ่งเขต เชื่อว่า กกต. ดำเนินการด้วยความเป็นธรรม ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่บางพื้นที่ได้เปรียบเสียเปรียบ เช่นเดียวกับพรรคพลังประชารัฐที่ก็ไม่ได้เปรียบเสียเปรียบแต่อย่างใด เพราะเพิ่งเข้ามาในวงการการเมือง”
นายสุวิทย์ยังยอมรับอีกด้วยว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่การแบ่งเขตของ กกต. จะถูกพรรคการเมืองอื่นจับตามองว่าเอื้อให้กับพรรคพลังประชารัฐ เพราะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่แล้ว แต่ก็ต้องย้ำว่าพรรคยึดนโยบายเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นสำคัญ เชื่อว่าไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคแน่นอน และมั่นใจว่าการแบ่งเขตในลักษณะนี้ จะไม่เป็นชนวนเลื่อนการเลือกตั้ง เพราะขณะนี้ทุกอย่างต้องเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง
ส่วนการกล่าวหาว่าการแบ่งเขตของ กกต. สืบเนื่องมาจากพลังดูดของพรรคพลังประชารัฐนั้น นายสุวิทย์ปฏิเสธว่าไม่จริง และไม่ควรเรียกว่าเป็นการดูด ส.ส. ชี้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา ของพรรคการเมืองที่ต้องหาส่วนผสมระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าให้ลงตัว
ขณะที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคพลังประชาชาติไทย ได้กล่าวถึงกรณีนี้ว่า “การที่พรรคจะสนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรี ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ หากใครสามารถรวบรวมเสียง ส.ส. ได้เกินครึ่งหรือ 250 คน ก็สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่งจะเป็น พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือใครก็ได้ ไม่มีปัญหา ส่วนจะร่วมรัฐบาลด้วยหรือไม่ เงื่อนไขสำคัญคือ นโยบายที่ต้องแก้ไขปัญหาให้ประชาชน”
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: