Pfizer Inc. เปิดเผยว่า ยารักษาโควิดที่อยู่ระหว่างการวิจัยของบริษัท ช่วยลดโอกาสในการรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิดลงได้ 89% ขณะที่ซีอีโอให้คำมั่นว่า บริษัทจะผลิตยาเพื่อต่อสู้กับโรคระบาดทั่วโลกอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ผลการทดลองชี้ให้เห็นว่า ยาของ Pfizer มีประสิทธิภาพเหนือกว่ายาโมลนูพิราเวียร์ของบริษัท Merck & Co Inc ซึ่งเปิดเผยเมื่อเดือนที่แล้วว่า ยาโมลนูพิราเวียร์ช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตหรือการรักษาในโรงพยาบาลลงได้ 50%
ยาเม็ดของ Pfizer ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า Paxlovid อาจได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ภายในสิ้นปีนี้ โดยบริษัทเผยว่ามีแผนที่จะส่งผลการศึกษาเบื้องต้นไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ก่อนวันหยุดขอบคุณพระเจ้าของสหรัฐฯ ในวันที่ 25 พฤศจิกายน
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งซื้อยาของ Pfizer หลายล้านโดส
“หากได้รับอนุมัติจาก FDA เราอาจมียารักษาโรคสำหรับผู้ติดเชื้อในอีกไม่นานนี้” ไบเดนกล่าว “ยาตัวนี้จะเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งในกล่องเครื่องมือของเราที่จะช่วยปกป้องประชาชนจากผลเลวร้ายที่สุดของโควิด”
ทั้งนี้ Pfizer พัฒนายาต้านไวรัสสำหรับรักษาโควิดมาเกือบ 2 ปีแล้ว โดยแนวทางการรักษาเป็นการให้ยาเม็ดของ Pfizer ร่วมกับยาต้านไวรัสริโทนาเวียร์ (Ritonavir) จำนวน 3 เม็ด วันละ 2 ครั้ง
ทั่วโลกต่างตั้งความหวังกับยาของ Pfizer และ Merck เนื่องจากปัจจุบันยังคงมีตัวเลือกที่จำกัดในการรักษาผู้ป่วยโควิด โดยยาของ Merck ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลของอังกฤษในวันพฤหัสบดี (4 พฤศจิกายน) ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นประเทศแรกของโลก
อัลเบิร์ต บูร์ลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า Pfizer อยู่ระหว่างเจรจากับ 90 ประเทศเกี่ยวกับสัญญาการจัดหายา
“เป้าหมายของเราคือ เพื่อให้ทุกคนในโลกได้รับยานี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” บูร์ลากล่าว พร้อมกับเสริมว่าสำหรับประเทศที่มีรายได้สูง Pfizer คาดว่าราคายาของบริษัทจะใกล้เคียงกับราคายาของ Merck โดยราคายาในสหรัฐฯ ของ Merck อยู่ที่ประมาณ 700 ดอลลาร์สำหรับสูตรการรักษา 5 วัน
สำหรับประเทศที่มีรายได้ต่ำ บูร์ลากล่าวว่า Pfizer กำลังพิจารณาทางเลือกหลายทาง โดยมีเป้าหมายเพื่อขจัดอุปสรรคในการเข้าถึงยาสำหรับประเทศเหล่านี้
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อกล่าวว่า แม้ยาเม็ดของ Pfizer และ Merck มีศักยภาพ แต่การป้องกันการติดเชื้อโควิดด้วยการฉีดวัคซีนในวงกว้างยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมการระบาดใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 5 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งรวมถึงกว่า 750,000 คนในสหรัฐอเมริกา
ดร.เกรซ ลี ศาสตราจารย์ด้านกุมารเวชศาสตร์จากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าวว่า “วัคซีนจะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้มากที่สุดที่เรามีในการระบาดใหญ่นี้ ขณะที่ยารับประทานเหล่านี้จะเพิ่มความสามารถให้กับเราในการลดความเสี่ยงของโรคร้ายแรง การรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิต แต่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้”
ภาพ: Nikolas Kokovlis / NurPhoto via Getty Images
อ้างอิง: