สถานีโทรทัศน์ CNBC จัดทำบทความพิเศษรวบรวมความคิดเห็นของนักกลยุทธ์การลงทุนจาก Standard Chartered ที่ออกมาคาดการณ์ทิศทางตลาดในปี 2023 ด้วยการประมวลสรุปเหตุการณ์เซอร์ไพรส์ใหญ่ๆ ที่มีโอกาสเป็นไปได้อย่างมากที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ซึ่งจะฉุดให้มูลค่าหุ้นในตลาดลดลง
Eric Robertson หัวหน้าฝ่ายวิจัยและหัวหน้านักยุทธศาสตร์ของธนาคาร Standard Chartered กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นทั่วโลกที่เกิดขึ้นในปีนี้ยังคงมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปในปี 2023 แม้ว่าความเสี่ยงจะลดลงและความเชื่อมั่นจะดีขึ้นก็ตาม พร้อมเตือนนักลงทุนให้เตรียมพร้อมสำหรับ ‘อีกหนึ่งปีแห่งความตื่นตระหนกและปั่นป่วนประสาท’
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- คัด 10 หุ้นราคาต่ำ 10 บาท P/E ต่ำ ปันผลสูง ราคา YTD ยังบวก
- ทองคำ กำลังไหลเข้าเอเชีย ท่ามกลางดอกเบี้ยโลกที่กำลังขึ้นต่อเนื่อง
- เงินบาทอ่อนค่าทะลุ 37 บาทต่อดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อย ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 16 ปี
โดยในมุมมองของ Robertson เหตุเซอร์ไพรส์ที่ใหญ่ที่สุดที่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ การกลับคืนสู่ ‘ภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น’ เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก
ในส่วนของเหตุเซอร์ไพรส์ประการต่อมาก็คือ การล่มสลายของราคาน้ำมัน โดยรายงานระบุว่า ราคาน้ำมันเมื่อช่วงต้นปี 2022 พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากความกังวลในด้านอุปทานและการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ก่อนจะค่อยๆ ขยับปรับลดลง แต่ราคาน้ำมันโดยรวมตลอดทั้งปีนี้ก็ยังคงมีความผันผวน
โดยล่าสุดราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างหนักถึง 35% ในช่วงระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 28 พฤศจิกายน เนื่องจากกลุ่ม OPEC+ เดินหน้าลดกำลังการผลิต และการชะลอตัวของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีน ผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ของโลก
สำหรับปีนี้ Robertson กล่าวว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกที่ลึกกว่าที่คาดไว้ รวมถึงการฟื้นตัวของจีนที่ล่าช้าหลังการระบาดระลอกแล้วระลอกเล่าของโควิดในจีน อาจนำไปสู่ภาวะ ‘อุปสงค์น้ำมันที่ลดลงอย่างรวดเร็ว’ จนกระทบต่อเศรษฐกิจของนานาประเทศ รวมถึงประเทศที่เคยเชื่อว่าน่าจะฟื้นตัวได้ดีในปี 2023
ขณะเดียวกันในกรณีที่เกิดการบรรลุข้อตกลงที่สามารถยุติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนขึ้น Robertson ระบุว่า สิ่งนี้จะขจัด ‘ค่าสินไหมทดแทนที่มีความเสี่ยงจากสงคราม’ ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนเพิ่มเติมที่นักลงทุนคาดหวังสำหรับการรับความเสี่ยงมากขึ้นจากน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันมีโอกาสลดลงประมาณ 50% ของมูลค่าตลาดในช่วงครึ่งแรกของปี 2023
Robertson คาดการณ์ว่า ด้วยราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างรวดเร็ว รัสเซียจึงไม่สามารถสนับสนุนกิจกรรมทางทหารของตนได้หลังไตรมาส 1 ปี 2023 และตกลงที่จะหยุดยิง แม้ว่าการเจรจาสันติภาพจะยืดเยื้อ แต่การสิ้นสุดของสงครามทำให้ค่าความเสี่ยง (Risk Premium) ที่พยุงราคาพลังงานหายไปโดยสิ้นเชิง พร้อมอธิบายว่า ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางทหารช่วยให้ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสัญญาที่รอการตัดบัญชี แต่การลดลงของค่าเบี้ยประกันและการสิ้นสุดของสงคราม ทำให้เส้นกราฟน้ำมันกลับด้านในไตรมาสที่ 1 ปี 2023
ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่เป็นไปได้นี้ การล่มสลายของราคาน้ำมันจะทำให้น้ำมันดิบ Brent ที่เป็นมาตรฐานสากลจากระดับปัจจุบันที่ประมาณ 79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เหลือเพียง 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ของโควิด
ในส่วนของเซอร์ไพรส์ประการต่อมาก็คือ ความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 2.00%
ทั้งนี้เรื่องราวหลักของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในปี 2022 นี้ก็คือการที่บรรดาผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายทั้งหลายประเมินผลกระทบจากเงินเฟ้อต่ำเกินไป และเชื่อว่าเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ก่อนที่ประธาน Fed อย่าง Jerome Powell จะกลับลำในภายหลัง พร้อมเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2022 เพื่อสกัดเงินเฟ้อพุ่ง โดยตลาดคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดในท้ายที่สุดจะอยู่ที่ประมาณ 5%
Robertson กล่าวว่า ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในปีหน้าคือการที่เหล่าคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงินของ Fed (FOMC) ประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ในปี 2023 ต่ำเกินไป
หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยหนักในช่วงครึ่งปีแรก Fed อาจถูกบังคับให้สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 2% เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและหลีกเลี่ยงภาวะ Hard Landing
ในส่วนของความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้น ทางนักกลยุทธ์ของ Standard Chartered กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีมีแนวโน้มจะปรับตัวร่วงลงหนักอย่างต่อเนื่องในปี 2023 รับการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อของ Fed
ขณะนี้ดัชนี Nasdaq 100 ปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมาในแดนลบ ทำให้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาดัชนี Nasdaq ปรับตัวลดลงไปแล้วมากกว่า 29% แม้ว่าจะมีช่วงที่รีบาวด์ พลิกฟื้นขยับขึ้นมาได้ในช่วงปลายปี แต่โอกาสที่นักลงทุนจะได้เห็นเซอร์ไพรส์ใหญ่ในหุ้นเทคโนโลยีปีหน้ากลับมีมากขึ้น โดย Robertson มองว่าหุ้นเทคโนโลยีน่าจะดิ่งลงอย่างรุนแรงอีก 50% ในปี 2023
Robertson คาดการณ์ว่า ภาคส่วนเทคโนโลยียังคงประสบปัญหาในวงกว้างในปี 2023 โดยได้รับแรงกดดันจากความต้องการฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และเซมิคอนดักเตอร์ที่ลดลง
นอกจากนี้ ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น และสภาพคล่องที่ลดลง นำไปสู่การล่มสลายของแหล่งเงินทุนสำหรับบริษัทเอกชน กระตุ้นให้เกิดการปรับลดมูลค่าลงอย่างมากทั่วทั้งภาคธุรกิจ ตลอดจนการตกงานจำนวนมาก รวมถึงมีการล้มละลายเกิดขึ้นอย่างมากในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีในปีหน้า ซึ่งการที่บริษัทเทคโนโลยีมีอิทธิพลไม่น้อยในดัชนี S&P 500 จะฉุดให้ดัชนีหุ้นโดยรวมตกต่ำไปด้วย ซึ่ง Robertson คาดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคเทคโนโลยีจะนำไปสู่การล่มสลายของหุ้นทั่วโลกในที่สุด
อ้างอิง: