×

เกมยากที่สุดในชีวิตของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา

30.11.2024
  • LOADING...
เป๊ป กวาร์ดิโอลา

“การหลงใหลในความสมบูรณ์แบบ? มันเป็นส่วนหนึ่งในงานของผม”

 

นี่คือคำพูดเมื่อหลายปีก่อนของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นกุนซืออัจฉริยะผู้เก่งกาจที่สุดในโลกของเกมลูกหนังยุคโมเดิร์น ซึ่งในเวลาต่อมาถึงขั้นมีการทำสารคดีพิเศษโดย BBC เรื่อง Pep Guardiola: Chasing Perfection

 

สารคดีนั้นบอกเล่าเรื่องราวของคนที่ไม่มีคำว่าลดหย่อนผ่อนปรนใดๆ ในการทำงาน ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเนี้ยบเรียบร้อยในทุกขั้นตอน แม้ในรายละเอียดของจุดที่เล็กที่สุดที่คนอาจมองไม่เห็นหรือไม่ทันสังเกตก็ตาม

 

รางวัลของความพยายามคือความสำเร็จมากมายที่เกิดขึ้นตลอดช่วงชีวิตการทำงานของเขา

 

อย่างไรก็ดี เป๊ปกำลังเผชิญกับปัญหาใหม่และเป็นปัญหาใหญ่ เมื่อทีมของเขาไม่ชนะ 6 นัดติดต่อกัน

 

รอยขีดข่วนบนใบหน้าทำให้หลายคนตกใจและเป็นห่วง

 

แต่อีกด้านของเรื่องราวนี่อาจเป็นความท้าทายครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนที่ชอบทำเรื่องยากๆ อย่างเขา กับการไปเยือนแอนฟิลด์ของลิเวอร์พูลที่กำลังผงาด โดยหากพลาดพ่ายก็อาจหมายถึงการตัดใจจากการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 5 ติดต่อกันทันที

 

เป๊ป กวาร์ดิโอลา

 

มีการสังเกตว่ารอยแผลที่เกิดขึ้นบนศีรษะของเป๊ปมีด้วยกันทั้งหมด 7 แห่งด้วยกัน พร้อมกับรอยแผลที่มีเลือดซิบเล็กๆ บริเวณจมูก

 

แต่นั่นไม่น่าตกใจเท่ากับคำพูดที่หลุดปากเขาออกมาว่า “ผมต้องการทำร้ายตัวเอง”

 

เรื่องนี้ทำให้หลายคนกังวลเรื่องสภาพจิตใจของกุนซือผู้ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะของโลกลูกหนังว่ากำลังตกอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีหรือไม่ ภายหลังจากที่ผลงานของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตกอยู่ในวิกฤตซ้อนวิกฤตโดยนอกจากจะแพ้รวดมาถึง 5 นัดในทุกรายการก่อนหน้านี้ แต่ในเกมที่ควรกลับมาเก็บชัยชนะได้แล้วด้วยการออกนำฟายนอร์ดถึง 3-0 ในบ้านของตัวเอง กลับพลาดท่าถูกไล่ตามตีเสมอ 3-3 ในช่วง 14 นาทีสุดท้ายของเกม

 

ลักษณะอาการของเป๊ปดูคล้ายกับคนที่หงุดหงิดผิดหวัง และไม่รู้จะหาทางระบายความรู้สึกนั้นออกมาอย่างไรจนต้องทำกับตัวเอง อีกทั้งต้องมีการออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเรื่องเป็นราวอะไรในเวลาต่อมา

 

ถึงอย่างนั้นเราต่างก็รู้ดีว่า เป๊ปอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่กดดันอย่างยิ่ง

 

รอยแผลเหล่านั้นคือตัวแทนของความรู้สึกมากมายที่อัดแน่นจนเก็บไว้ไม่ไหว และถูกปลดปล่อยออกมาในรูปแบบที่ชวนตกใจ

 

ย้อนกลับไปในวันที่เป๊ปดู ‘จิตหลุด’ ในนัดกับฟายนอร์ดนั้น สิ่งที่น่าจะเป็นสาเหตุของเรื่องราวอาจไม่ใช่ผลการแข่งขันที่จบลงด้วยการเสมอกัน 3-3 และการที่ไม่ชนะอีกแล้วทั้งๆ ที่มีโอกาสดีที่สุด รวมถึงทำทุกอย่างได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

แต่เป็นการที่ลูกทีมของเขาทิ้งทุกอย่างที่ทำมาโยนลงถังขยะไปหมดในช่วง 14 นาทีสุดท้ายของเกม

 

ถ้าเป็นเกมที่เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจในระดับไล่เลี่ยกัน การเสมอกันไม่ใช่เรื่องที่เกินใจจะรับไหว แต่การพลาดท่าโดนไล่ตาม 3 ประตูแบบนี้สำหรับเป๊ปเป็นเรื่องที่เกินใจจะอดทน

 

มันสะท้อนถึงความเปราะบางและความอ่อนแอของผู้เล่นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ณ เข็มนาฬิกาเดินไป ซึ่งสะสมต่อเนื่องจากการแพ้ถึง 5 นัดรวดรวมทุกรายการก่อนหน้านี้

 

เป๊ปรู้สึกว่าเขาไม่สามารถทำอะไรเพื่อช่วยทีมได้ในวันนั้น

 

 

คำถามคือเขาไม่สามารถจะช่วยอะไรทีมได้อีกจริงๆ หรือ

 

คำตอบคือไม่น่าใช่

 

ในรายละเอียดของการพังทลายนั้น ปัญหาใหญ่ที่ปฏิเสธไม่ได้คือการขาดหายของเสาหลัก 2 คนที่มีผลต่อเกมรับทั้ง โรดรี ผู้เล่นที่ทำหน้าที่เหมือนเฮอร์คิวลิสแบกทีมไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา และ รูเบน ดิอาส ปราการหลังที่เป็นผู้นำของเกมรับซึ่งบาดเจ็บในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน

 

ตลอดหลายนัดที่ผ่านมาเกมรับที่เปราะบางและโดนเจาะประตูตลอดเวลาสร้างปัญหาให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งค่อยๆ สูญเสียความเชื่อมั่นที่มีไป เพราะไม่ว่าทีมจะทำประตูได้หรือไม่ เกมจะจบลงด้วยความผิดหวังสำหรับพวกเขาเสมอ

 

ตรงนี้เองที่จะเป็นความท้าทายสำหรับเป๊ปในการพาทีมไปเยือนแอนฟิลด์

 

จริงอยู่ที่ลิเวอร์พูลภายใต้การนำของ อาร์เน สลอต กำลังทำผลงานได้อย่างร้อนแรงใน 12 นัดแรกของพรีเมียร์ลีก ซึ่งชนะถึง 10 นัด เสมอ 1 นัด และพลาดแพ้แค่ 1 นัด ไม่นับในลีกคัพและแชมเปียนส์ลีกที่ชนะรวดทุกนัด โดยเฉพาะรายการหลังที่เพิ่งจัดการถอนแค้นเรอัล มาดริด ได้สำเร็จในเกมเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา (ผลงานรวมแข่ง 19 นัด โดยชนะ 17 นัด เสมอ 1 นัด และแพ้ 1 นัด)

 

การหาทางหยุดพลังเกมรุกของ ‘Slot Machine’ (สีแดง) เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอย่างสนุกว่า ใครจะหยุดเกมรุกที่มี โม ซาลาห์, หลุยส์ ดิอาซ, โคดี กักโป และ ดาร์วิน นูนเญซ ได้

 

เรื่องนี้จะเป็นปริศนาสนุกๆ ของเป๊ปให้ได้คิดหาทางแก้ไข

 

จัดกระบวนทัพอย่างไร, วางกลยุทธ์ในเกมอย่างไร, วางเกมแพลนอย่างไร และจะต้องเล่นแบบไหน ถึงจะไม่กลับมาจากแอนฟิลด์ด้วยความพ่ายแพ้

 

แดนกลางจะครองเกมสู้กับแผงมิดฟิลด์ของลิเวอร์พูลได้ไหม เพราะเป็นมิดฟิลด์ที่หากเป็นข้าวสวยก็ต้องบอกว่ากำลังหุงขึ้นหม้ออย่าง ไรอัน กราเฟนแบร์ก, อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ เคอร์ติส โจนส์

 

และเกมรุกจะเจาะทำลายปราการที่นำมาโดยหอบัญชาการอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ได้หรือไม่?

 

ที่สำคัญคือเขาจะหาทางเรียกขวัญและกำลังใจของทีมกลับมาได้อย่างไรในสภาพการณ์แบบนี้?

 

เรื่องพวกนี้ยากถึงโคตรยาก ลองจินตนาการว่าเราเป็นเป๊ป หรือเป็นผู้นำในองค์กรที่เจอวิกฤตขนาดนี้ดูนะครับ แต่ทั้งในฐานะผู้นำและในฐานะของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะ

 

ยากแค่ไหนก็คือความท้าทายมากขึ้นเท่านั้น

 

 

อย่างไรก็ดียังมีสิ่งที่อาจเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายที่สุดมากกว่าการจัดการเกมการแข่งขัน (Game Management)

 

เรื่องนั้นคือเรื่องของการจัดการกับสภาพจิตใจของตัวเอง

 

อย่างที่บอกไปข้างต้นครับว่าเป๊ปเป็นคนที่รักในความสมบูรณ์แบบ เป็น ‘Perfectionist’ ผู้ไม่ยอมย่อหย่อนต่อความไม่สมบูรณ์ทั้งสิ้น

 

แต่ในบางครั้งการยอมรับต่อความไม่สมบูรณ์แบบบ้างก็อาจช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นได้

 

อาจไม่ต้องเล่นตามรูปแบบและแนวทางที่ตั้งใจไว้เสมอไป ปรับหรือเปลี่ยนให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์และขุมกำลังของทีมที่มีอยู่ เพื่อหาหนทางที่ดีที่สุดและเป็นไปได้มากที่สุดที่จะเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการกลับมาให้ได้

 

เช่นกันสำหรับเป๊ปคือการยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของผลงานหรือการทำงานบ้าง

 

จริงอยู่ที่ Passion ของความเป็น Perfectionist เป็นสิ่งที่ทำให้เขาพิชิตทุกอย่าง แต่มันอาจเหลืออีกอย่างที่เขายังไม่ได้ลองเอาชนะคือ เรื่องการยิ้มรับกับสิ่งที่ไม่เป็นใจที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิต

 

ถ้ายอมรับได้และไม่ยึดติดไว้กับหัวใจ บางทีเป๊ปอาจค้นพบเส้นทางใหม่ของชีวิตที่ทำให้เขาไปต่อได้บนถนนที่เคยคิดว่าอาจไม่มีหนทางไปต่อแล้ว

 

ถึงจะแอบเบื่อในความเก่งจนเกินไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ในสิ่งที่เกิดขึ้นหลายคนก็แอบหวังว่าแววตาของเป๊ปจะกลับมาแจ่มใสอีกครั้ง

 

เกมที่ยากที่สุดในชีวิตของเขาเริ่มขึ้นแล้ว เสียงนกหวีดดังมาสักพักโดยที่เจ้าตัวก็อาจไม่ทันรู้ตัวว่า จริงๆ แล้วเกมนั้นไม่ใช่เกมที่แอนฟิลด์ ไม่ใช่คู่แข่งอย่างลิเวอร์พูล หรือ อาร์เน สลอต

 

แต่เป็น เป๊ป กวาร์ดิโอลา อีกคนที่ยืนอยู่ในกระจกเงาตรงหน้าผู้เผยรอยยิ้มชั่วร้ายให้เห็น

FYI
  • การขาดโรดรีไปทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีปัญหาในการรับมือกับเกมสวนกลับ (Counter-Attack) ของคู่แข่ง โดยใน 10 นัดหลังสุดที่ไม่มีโรดรีพวกเขาก็เจอคู่แข่งที่หาโอกาสจบสกอร์จากการโต้กลับมากถึง 17 ครั้ง และทำให้คู่แข่งมีโอกาสสำคัญที่จะได้ประตู (Big Chance) ถึง 30 ครั้ง หรือพูดง่ายๆ คือเกมรับรั่วอย่างมาก

 

  • ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่หาโอกาสจากการเล่นสวนกลับเร็ว (Fast Break) ได้ถึง 20 ครั้ง ซึ่งมากกว่าทุกทีมในพรีเมียร์ลีก และมีสกอร์จากการเล่นแบบนี้ถึง 5 ประตู เป็นรองแค่ราชาแห่งการสวนกลับอย่างท็อตแนม ฮอตสเปอร์ (9 ประตู) ทีมเดียว
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X