ไม่แน่ใจนักว่าปีนี้เป็นปีชงของเป๊ป กวาร์ดิโอลา หรือเปล่า แต่ดูเหมือนเขาจะเจอเรื่องร้ายๆ ไม่ได้หยุดได้หย่อนเลยนะครับว่าไหม
ล่าสุดกุนซืออัจฉริยะยืนยันอย่างเป็นทางการว่า ในเกมพรีเมียร์ลีกคืนวันอาทิตย์นี้ พวกเขาจะไม่มีเอแดร์ซอน ผู้รักษาประตูมือหนึ่งลงเฝ้าเสา เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บที่ติดตามมาจากเกมแชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา
เอแดร์ซอน จึงเป็นผู้เล่นระดับคีย์แมนรายล่าสุดที่ไม่สามารถรับใช้ทีมได้ต่อจาก ไอเมอริก ลาปอร์เต, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก, ดาบิด ซิลบา และโรดรี ไม่นับ เลรอย ซาเน ที่ปิดฉากตั้งแต่ฤดูกาลยังไม่เปิด หลังฮีโร่ผู้ยิงดับหงส์แดง และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พวกเขาป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกเอาไว้ได้ในฤดูกาลที่แล้ว ได้รับบาดเจ็บเอ็นหัวเข่าฉีกขาดในช่วงพรีซีซัน
เป็นสถานการณ์ที่ห่างไกลมากจากคำว่าอุดมคติ ในการไปเยือนคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุดที่พวกเขาเคยเผชิญหน้ามาอย่างลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์
สนามที่ทีมของเจอร์เกน คล็อปป์ ไม่เคยแพ้ติดต่อกันมา 45 นัด และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เองก็ไม่เคยบุกมาชนะที่นี่ได้สักครั้งใน 16 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดีผมกลับมองว่านี่คือโอกาสที่เราจะได้พิสูจน์ความสามารถของกุนซือที่ถูกยกย่องว่าเก่งที่สุดในโลกอย่างเป๊ปว่าเขาจะทำอย่างไร เพื่อที่จะกลับมาจากเมอร์ซีย์ไซด์ด้วยชัยชนะ?
หรืออย่างน้อยที่สุดก็ขอไม่แพ้กลับมา
เป๊ปยอมรับในการแถลงข่าวก่อนเกมตามธรรมเนียมปฏิบัติว่า ลิเวอร์พูลคือทีมคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเผชิญมาในชีวิตนี้ และสนามแอนฟิลด์ก็เป็นสนามที่ไปเยือนแล้วเล่นยากที่สุดด้วย
มองไปที่ฟากฝั่งหงส์แดง สำหรับพวกเขาแล้วไม่มีอะไรยากและซับซ้อนเลย
เพื่อการเดินหน้าสู่การเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกให้ได้ ลิเวอร์พูลนั้นต้องการชนะสถานเดียว และพวกเขารู้ว่าพวกเขาจะต้องเล่นอย่างดีที่สุดเท่านั้นถึงจะเอาชนะได้
ผมคิดว่ามันเดาไม่ยากครับว่าลิเวอร์พูลจะเล่นแบบไหน เพราะพวกเขาจะเล่นแบบเดิมเหมือนทุกนัดที่เคยเล่นมา แต่ที่จะเพิ่มเติมคือเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก และความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะให้ได้ เพราะถ้าทำได้พวกเขาจะขยับหนีห่างออกเป็น 9 แต้มเต็ม แม้ฤดูกาลจะอีกยาวนานแต่มันก็เป็น ‘ระยะปลอดภัย’ ที่ดีพอสมควรสำหรับการเดินทางที่เหลือ
คล็อปป์ ยังเก่งในเรื่องของการปลุกใจเหมือนเดิม ไม่เฉพาะกับนักเตะที่จะลงสนาม แต่ยังรวมถึงแฟนบอล
กระทั่งคนขายฮอตดอกในสนาม คล็อปป์ก็ขอให้เขาเตรียมตัวมาอย่างดีที่สุดสำหรับเกมนัดนี้ด้วย!
เรียกว่าคล็อปป์และลิเวอร์พูลดูจะใช้ ‘หัวใจนำทาง’
คำถามสำคัญมันจึงตกอยู่กับฝั่งเป๊ปครับว่า ในการเผชิญหน้ากับทีมที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้ใครเลยใน 11 นัดที่ผ่านมา ทีมที่ไม่เคยยอมแพ้ใครเลยแม้จะตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำก่อนก็กลับมาได้ทุกครั้ง เขาจะงัดกลเม็ดเด็ดพรายขนาดไหนออกมา?
ตรงนี้คือความสนุกครับ
ย้อนหลังกลับไปเมื่อปีกลาย ในเกมที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องพับกบ เอ้ย พบกับลิเวอร์พูล นัดแรกที่แอนฟิลด์ วันนั้นไม่มีใครคิดหรือคาดหวังอะไรจากทีมของเป๊ปมากนัก
เหตุผลนั้นเรียบง่าย ก็เพราะในการพบกันที่นั่นทีมของเขาถูกเป่ากระเจิงทุกครั้งไป โดยเฉพาะการโดนยิงไปถึง 7 ประตูจาก 2 นัดหลังสุดที่พบในพรีเมียร์ลีก และแชมเปี้ยนส์ลีก ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของฤดูกาล 2017-18
หากเปรียบเป๊ปเป็นเหมือนซูเปอร์แมน
คล็อปป์ ก็คือคริปโตไนต์ เพราะเป็นคนเดียวในโลกที่เอาชนะเป๊ปได้มากที่สุดถึง 7 ครั้ง
หนึ่งในเหตุผลที่สำคัญคือเรื่องสไตล์การเล่นของซิตี้ ที่เป็นฟุตบอลเกมรุกสวยงามแต่มีช่องโหว่ให้เล่นงานได้เสมอ และลิเวอร์พูลของคล็อปป์ก็ดีพอที่จะเล่นงานพวกเขาได้ไม่ยากด้วยเกมรุกที่รวดเร็วรุนแรงเหมือนสายฟ้าฟาด
แต่คนอย่างเป๊ปไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้โดยไม่สู้ครับ บทเรียนที่เจ็บปวดสอนให้เขาทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด อย่างการวางหมากให้ซิตี้ตั้งรับอย่างรัดกุม ไม่ยอมเปิดช่องว่างหรือพื้นที่ให้ลิเวอร์พูลเล่นงานได้แม้แต่น้อย
จากระบบการเล่นปกติ 4-3-3 ที่คุ้นเคย วันนั้นเรือใบสีฟ้ามาในระบบ 4-1-4-1 โดยจุดสำคัญอยู่ที่แผงกองกลางที่นักเตะอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง และแบร์นาร์โด ซิลวา ที่ปกติจะโลดแล่นอย่างอิสระ ขยับตำแหน่งเข้ามาชิดกับคู่กองกลาง ส่วนฟูลแบ็กสองข้างที่ปกติเติมเกมรุกบุกแหลกก็ปักหลักอยู่ลึก
มันเป็นสไตล์ที่เหนือจินตนาการมากสำหรับคนที่รักความสมบูรณ์แบบนี้
สุดท้ายพวกเขารักษาสกอร์ 0-0 เอาไว้ได้สำเร็จ ซึ่งความจริงก็เกือบจะได้ชัยชนะกลับบ้านด้วยหาก ริยาด มาห์เรซ ไม่ซัดจุดโทษพลาด
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วเป็นหนึ่งในเครื่องยืนยันครับว่า เป๊ปไม่ใช่คนที่ตะบี้ตะบันทำทุกอย่างเหมือนเดิม เขาพร้อมจะปรับ และเขากล้าที่จะเปลี่ยนเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย
และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เป๊ปก็ไม่เคยแพ้คล็อปป์ในเกม 90 นาทีอีกเลย โดยหลังจากนั้นทีมของเขาเฉือนเอาชนะได้ 2-1 ในเกมพรีเมียร์ลีก และล่าสุดที่พบกันในรายการคอมมิวนิตีชีลด์ จบลงด้วยการเสมอ 1-1 ในช่วงเวลาปกติ และเอาชนะได้ในการดวลจุดโทษ
มันดีพอที่เราอาจจะมองเขาใหม่ จากที่เคยแพ้ทางเป็นแก้ทางได้แล้วใช่ไหม?
อย่างไรก็ดี การพบกันสามนัดก่อนหน้านี้ไม่มีเกมไหนที่จะมีความยากเทียบเท่ากับเกมนี้ได้ครับ
ปัญหาตัวผู้เล่นบาดเจ็บร่วมครึ่งทีมทำให้มีหลายจุดที่มีเครื่องหมายคำถามว่าอัจฉริยะอย่างเป๊ป จะจัดการอย่างไรเพื่อไม่ให้เสียท่าลิเวอร์พูล
เคลาดิโอ บราโว ที่จะได้โอกาสลงสนามแน่ๆ นั้นจะได้รับการติวอะไรเป็นพิเศษไหม? ฟูลแบ็กซ้ายจะเป็นใคร? แล้วคู่เซ็นเตอร์แบ็กเล่า? ใครจะยืนกองกลางร่วมกับ อิลคาย กุนโดกัน? ฟิล โฟเดน จะได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวทำเกมแทน ดาบิด ซิลบา ได้หรือยัง? แล้วกองหน้าจะใช้ เซร์คิโอ อเกวโร หรือ กาเบรียล เฆซุส หรือจะใช้ทั้งสองคน
ระบบการเล่นจะเปลี่ยนไปใช้ 3-5-2 เหมือนที่โอเล กุนนาร์ โซลชา ปรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนเป็นทีมแรกและทีมเดียวในเวลานี้ที่ไม่แพ้ลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ไหม?
ผมอาจจะคิดมากไปเอง แต่จากที่ได้เห็นอากัปกิริยาของเป๊ปในช่วงที่ผ่านมา มันชวนให้รู้สึกได้ว่าเขากำลัง ‘หมกมุ่น’ (Obsessed) กับเรื่องของลิเวอร์พูล
หลายครั้งที่เขาเปิดประเด็นพูดถึงคู่แข่งโดยที่นักข่าวไม่ได้ชงคำถาม (และก็สร้างความประหลาดใจกันมากอยู่) รวมถึงกรณีล่าสุดที่พูดถึง ซาดิโอ มาเน กับพฤติกรรม ‘พุ่งล้ม’
มันอาจจะดูคล้ายเป็นเกมจิตวิทยา แต่ในอีกด้านหนึ่ง เป๊ปอาจจะหมกมุ่นจนควบคุมความคิดตัวเองไม่ได้จนเผลอพูดออกไป
จะคิดว่าเขากำลังกลัวลิเวอร์พูลอยู่? ก็อาจจะเป็นไปได้ครับ
แต่หากคิดในอีกมุม แปลว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเขาคิดเรื่องของการเผชิญหน้ากันในวันอาทิตย์นี้ และคงมีกลยุทธ์ที่คิดเอาไว้หมดแล้วว่าจะทำอย่างไรใน 90 นาทีแห่งชีวิตที่แอนฟิลด์
ดังนั้นถึงมันจะเข้าข่ายเป็นเกมที่ยากที่สุดในชีวิตของเป๊ป กวาร์ดิโอลา ด้วยเรื่องราว เงื่อนไข และสถานการณ์ต่างๆ
แต่ในเวลาเดียวกันมันก็เป็นของหวานแสนโอชะที่เขาปรารถนาจะลิ้มลองมากที่สุดด้วยเช่นกัน
ถ้าเขาเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการที่แอนฟิลด์ได้
มันจะเป็นชัยชนะที่หอมหวานที่สุดในชีวิตของอัจฉริยะลูกหนังคนนี้อย่างแน่นอนครับ
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
- 11 ปีที่คุมทีมมา เป๊ปพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้มากถึง 8 สมัย ทั้งในสเปน เยอรมนี และอังกฤษ
- 2 ปีหลังสุดกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เขาพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ต่อเนื่อง และเก็บคะแนนได้มากเป็นประวัติการณ์รวมถึง 198 คะแนน
- เป๊ปเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลอังกฤษที่สามารถพาทีมพิชิตฟุตบอลถ้วยในประเทศได้ครบ 3 รายการ คือ ลีก, เอฟเอคัพ และลีกคัพ