สถานการณ์การเมืองเวลานี้ ดูเหมือนการจับมือจัดตั้งรัฐบาลที่พลังประชารัฐเป็นแกนนำ ในตอนต้นนั้นมีทีท่าจะสดใส เพราะประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ล้วนแสดงออกถึงการยอมรับไมตรีเทียบเชิญแล้ว เมื่อดูจากการโหวตตำแหน่งประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ ซึ่งคะแนนลงมติส่งให้แต่ละพรรคได้รับสัดส่วนที่นั่งกระจายออกไปตามที่ตกลง
แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน ข้อสรุปที่ชัดเจนจากสองพรรคการเมืองยังไม่ปรากฏออกมา มีกระแสข่าวเรื่องการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีเพื่อแบ่งงานกันทำ ที่ไม่ได้ข้อยุติลงตัว ร้าวลึกถึงขนาดมีการประกาศจากแกนนำฟากพลังประชารัฐว่า อาจเกิดโมเดลรัฐบาลเสียงข้างน้อย ไม่รอให้สองพรรคเข้าร่วม เพราะมีรัฐธรรมนูญที่ดีไซน์มาให้พลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาลอยู่แล้ว จากจำนวนเสียง ส.ว. แต่งตั้งที่มีตุนไว้แล้วในกระเป๋า
ล่าสุด ไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป 1 เสียงจาก ส.ส. บัญชีรายชื่อ ที่ประกาศหนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นนายกฯ ต่อมาโดยตลอด ได้มองสถานการณ์การเมืองเวลานี้ว่ายังไม่ถึงทางตันซะทีเดียว เพราะสามารถดำเนินการตั้งรัฐบาลตามบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ โดยหากรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับเสียงข้างมากในรัฐสภา 400 เสียง แต่มีเสียงในสภาผู้แทนฯ ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ก็สามารถบริหารประเทศไปได้ในระยะยาว เพราะสามารถแก้ไขปัญหาการพิจารณากฎหมายงบประมาณแผ่นดินด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 270 ให้พิจารณาโดยที่ประชุมรัฐสภา
ไพบูลย์ยังเสนออีกว่าหากเกิดกรณีที่ฝ่ายค้านเสียงข้างมากในสภาผู้แทนเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีผลให้รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ 2 พ้นออกไป ก็เสนอให้รัฐสภาเสียงข้างมากเลือกกลับมาเป็นรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ 3 อีกวาระหนึ่งได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 และฝ่ายค้านจะเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอีกไม่ได้ไปตลอดปี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 154
“การจัดตั้งรัฐบาลโดยมีเสียงข้างมากในรัฐสภาสนับสนุน แม้จะมีเสียง ส.ส. สนับสนุนไม่ถึงกึ่งหนึ่ง แต่แบ่งกระทรวงต่างๆ ให้พรรคการเมืองได้ลงตัวง่ายที่สุด จึงเป็นแนวทางที่ควรจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในขณะนี้ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้” ไพบูลย์ ย้ำ
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
