วันนี้ (19 กรกฎาคม) พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับขึ้นค่าไฟว่า ในช่วงสัปดาห์ก่อนตนและ ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้เดินทางไปประชุมพลังงานที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย จึงไม่ได้อยู่ชี้แจงข้อเท็จจริง อาจทำให้ข้อมูลสับสน แต่ถือเป็นเรื่องปกติ ทุกครั้งที่จะมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าก็จะมีข่าวออกไปในทางลบเสมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. และรัฐบาล โดยกระทรวงพลังงานจะต้องมีการหารือร่วมกันทุกครั้ง
สำหรับในครั้งนี้เมื่อตนเดินทางกลับมาจึงได้มอบแนวทางไว้ ซึ่งตนไม่อยู่จึงไม่ได้มีการประชุมหารือกัน วันนี้เชิญประธานคณะกรรมการ กกพ. และ เทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และผู้ว่าการ ปตท. มาหารือร่วมกัน โดยได้มีมติยืนค่าไฟอยู่ที่ 4.18 บาท ตามเดิมสำหรับค่าไฟฟ้าในงวดต่อไป ซึ่งตนต้องขอขอบคุณทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยที่สามารถจัดการภายในกันได้เพื่อช่วยเหลือประชาชน รวมไปถึงทาง ปตท. ยินดีที่จะไม่รับค่าตอบแทนใดๆ จากค่าไฟฟ้างวดนี้เลยเพื่อที่จะช่วยประชาชน
พีระพันธุ์กล่าวอีกว่า การช่วยเหลือประชาชนไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้าหรือน้ำมัน การดำเนินการไม่ได้อยู่ที่กระทรวงพลังงานเพียงกระทรวงเดียว ทั้งค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตจะต้องนำเงินส่งคลังตามหลักเกณฑ์ แต่ในการให้ลดราคาหรือตรึงราคาค่าไฟฟ้า นั่นหมายความว่าทำให้รายได้ต่ำลง เมื่อรายได้ต่ำลงก็จะต้องนำเงินส่งคลังตามผลกำไรที่เกิดจากรายได้ที่ต่ำลง แต่หน่วยงานอื่นกลับนำเอารายได้ที่ควรจะเป็นจริงหรือกำไรที่คำนวณเองมาให้นำเงินส่งคลัง ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องที่ควรแก้ไข เพราะเป็นการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตรับภาระโดยที่ไม่มีหน่วยงานอื่นไปช่วย
ขณะที่ราคาน้ำมันนั้น พีระพันธุ์ยืนยันว่าจะตรึงไว้ที่ราคาเดิม แต่อย่างที่ตนเคยพูดไว้แต่เดิม ทางกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นกลไกหลักมานานในการดูแลเรื่องราคาน้ำมันให้ประชาชน ซึ่งนับวันก็มีภาระหนี้สินมากขึ้น โดยเฉพาะตามหลักเกณฑ์ที่ออกมาใหม่ ที่ให้อำนาจกองทุนน้ำมันหายไปส่วนหนึ่งในการกำหนดเพดานภาษี ซึ่งราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ประชาชนต้องจ่ายมาจาก 2 ส่วนคือ ราคาที่มาจากเนื้อน้ำมันแท้ๆ อีกส่วนหนึ่งเป็นส่วนของภาครัฐ คือภาษี มาบวกเพิ่มเรื่องกองทุนน้ำมัน กองทุนอนุรักษ์พลังงาน และค่าการตลาด
แต่หากเทียบกันแล้วส่วนใหญ่จะเป็นภาษี เพราะฉะนั้นการจะปรับลดราคาน้ำมันลงมาได้ไม่ได้อยู่แค่ที่เนื้อน้ำมันจะต้องมีการปรับลดภาษีด้วย แต่เดิมอำนาจทางการกำหนดเพดานภาษีสรรพสามิตเป็นหน้าที่ของกองทุนน้ำมัน แต่ปัจจุบันถูกตัดออกจึงกลายเป็นภาระ ที่เอาเงินจากกองทุนไปใช้อย่างเดียว ซึ่งตนให้สัมภาษณ์มาเสมอว่าจะต้องมีการปรับปรุงกฎหมายส่วนนี้ ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งสิ่งที่กระทรวงพลังงานจะเร่งดำเนินการและพยายามตรึงไว้ได้คือตรึงราคาน้ำมันไว้อยู่ที่ 33 บาท
ส่วนจะมีการตรึงราคาค่าไฟไว้นานเท่าใดนั้น พีระพันธุ์กล่าวว่า ราคาค่าไฟฟ้าจะมีการปรับทุก 4 เดือนตามค่า Ft ซึ่งเป็นการเฉลี่ยค่าใช้จ่ายด้านก๊าซ จะต้องดูว่ามีการปรับขึ้นลงอย่างไร
ขณะที่การแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนน้ำมันนั้น พีระพันธุ์กล่าวว่าไม่ใช่เพียงแต่กระทรวงพลังงานจะต้องคิดว่าจะช่วยกันทำอย่างไร พร้อมระบุว่า ขอทำความเข้าใจเรื่องราคาน้ำมันดีเซลระหว่างไทยกับมาเลเซียที่ถูกกว่าไทยมาก เนื่องจากรัฐบาลมาเลเซียได้ใช้งบประมาณมาดูแลเหมือนกองทุนน้ำมัน ปีละเกือบ 4 แสนล้านบาท แต่ของเรามีหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันทางมาเลเซียก็ไปไม่ไหว มีการยกเลิกอยู่เหมือนกัน ทำให้ราคาน้ำมันของประเทศมาเลเซียขึ้นมา 10 กว่าบาท ไม่ต่างจากเรา
ส่วนการแก้ไขกฎหมายการกำหนดเพดานภาษีน้ำมัน พีระพันธุ์ระบุว่า ขณะนี้ใกล้เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งเมื่อเสร็จก็ต้องหารือต่อนายกรัฐมนตรีก่อน