พรรคโซเชียลลิสต์ (PSOE) ของ นายกรัฐมนตรีเปโดร ซานเชซ ชนะการเลือกตั้งทั่วไปของสเปน ด้วยคะแนนเสียง 28.7% ซึ่งแม้ไม่ได้เสียงข้างมากเด็ดขาดในการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว แต่พรรคก็ยังมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลผสม โดยการจับมือกับขั้วการเมืองฝ่ายซ้ายอย่างพรรคโปเดมอสและพรรคการเมืองท้องถิ่น หรือพรรคแนวกลางขวา
การเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 3 นับตั้งแต่ปี 2015 และถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ยุคเผด็จการทหารของ จอมพล ฟรานซิสโก ฟรังโก ในทศวรรษ 1970 ที่พรรคขวาจัดได้ที่นั่งในรัฐสภาอีกครั้ง โดยการนับคะแนนขณะนี้ผ่านพ้นไปแล้ว 99.98%
พรรค PSOE ซึ่งเป็นพรรคกลางซ้าย จะกวาดที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรได้ 122-123 ที่นั่ง มากกว่าที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ 38 ที่นั่ง อย่างไรก็ตาม พรรคต้องการอย่างน้อย 176 ที่นั่ง จึงจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้
ขณะที่พรรคพีเพิล (PP) ของ ปาโปล คาซาโด ได้คะแนนโหวตตามมาเป็นที่ 2 ที่ 16.7% ส่วนอันดับ 3-5 ได้แก่ พรรคซิตีเซนส์, พรรคโปเดมอส และพรรคว็อกซ์ (ขวาจัด) ซึ่งได้คะแนนเสียง 15.9%, 14.3% และ 10.3% ตามลำดับ
ซานเชซ วัย 47 ปี ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของสเปน เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2018 หลัง มารีอาโน ราฆอย จากพรรคพีเพิล ถูกโหวตไม่ไว้วางใจในรัฐสภา โดยซานเชซเป็นนักการเมืองฝ่ายซ้ายที่สนับสนุนสิทธิของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) และสิทธิการทำแท้งของสตรี
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: