วันนี้ (11 ตุลาคม) ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีการอภิปรายเสนอญัตติ เพื่อขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษา ติดตาม และส่งเสริมการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้/ปาตานี โดยผู้เสนอคือ รอมฎอน ปันจอร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล
รอมฎอนระบุว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่วันนี้มีผู้เสนอญัตติเข้ามาในลักษณะเดียวกันถึง 4 ญัตติ จากทั้งพรรคประชาชาติ พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย ซึ่งหากดูบันทึกการประชุมสภาในสมัยที่แล้ว ก็จะเห็นได้ว่ามีญัตติทำนองเดียวกันนี้ยื่นเข้ามาถึง 6 ญัตติด้วยกัน
นี่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะกระบวนการสันติภาพที่กำลังดำเนินอยู่เป็นที่รับรู้อย่างจำกัด ดำเนินการโดยฝ่ายนโยบายและฝ่ายความมั่นคงเป็นหลัก ทั้งที่สภาซึ่งเป็นพื้นที่กลางที่มีตัวแทนประชาชนจากทั้งประเทศควรจะได้มีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยเหตุผล 3 ประการ กล่าวคือ
1. ต้องยอมรับว่าปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องใหญ่ เกือบ 20 ปีที่ผ่านมามีผู้สูญเสียชีวิตกว่า 7,000 คน ใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 5 แสนล้านบาท เมื่อความรุนแรงดำเนินมาอย่างยาวนาน ดูเหมือนเราจะชาชินกับสถานการณ์ความไม่สงบ แล้วปล่อยมือให้กับฝ่ายราชการ ข้อเท็จจริงชัดเจนมากขึ้นโดยเฉพาะหลังการรัฐประหาร 2557 ที่มีการกีดกันไม่ให้สภาเข้าไปมีส่วนร่วมในการให้คำแนะนำ ตรวจสอบ และติดตามการดำเนินนโยบายเหล่านี้
ทั้งที่โดยเนื้อหาสาระของปัญหาแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับอำนาจอธิปไตยของไทย ความชอบธรรมในการปกครองเหนือดินแดน เชื่อมโยงไปถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมา เป็นเรื่องที่ควรต้องใช้ฉันทมติที่มาจากการปรึกษาหารือในสภาแห่งนี้ในการหาทางออก
2. ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาที่เชื่อมโยงหลายประเด็นและหลายมิติ ทั้งนโยบายการบริหารและการพัฒนา เกี่ยวโยงกับ 13 กระทรวง 45 หน่วยงาน อีกทั้งมิติภาระรับผิดชอบของฝ่ายนิติบัญญัติก็เหลื่อมซ้อนกันหลายกรรมาธิการ ทั้งด้านความมั่นคง ศาสนา สังคมพหุวัฒนธรรม การศึกษา การทหาร ตำรวจ หรือกระทั่งกรรมาธิการการปกครองและการต่างประเทศด้วย
3. สภาควรทำหน้าที่ได้มากกว่านี้ แม้การพูดคุยสันติภาพจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาที่ดำเนินควบคู่ไปกับมาตรการอื่นๆ แต่ปัญหาหลักคือการจัดวางความสำคัญของการพูดคุยสันติภาพที่ดูเหมือนจะไม่ชัดเจนมากนัก รัฐสภาต้องช่วยสะท้อนให้เห็นว่าการสร้างสันติภาพมีจุดเน้นสำคัญอยู่ที่โต๊ะเจรจาและการแสวงหาข้อตกลง
ผลลัพธ์หนึ่งที่เป็นหลักสำคัญในกระบวนการสันติภาพ แต่เป็นที่รับรู้กันน้อยมากในสังคมไทย คือเอกสารข้อตกลงสองชุดที่เป็นผลมาจากการดำเนินการร่วมกันของหลายฝ่าย ทั้งรัฐบาลไทย และขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชปาตานี แต่จนถึงบัดนี้กระบวนการเหล่านี้ดูเหมือนจะชะงัก และจำเป็นที่สภาจะต้องคอยกระตุ้นเตือนให้กระบวนการนี้เดินหน้าต่อไป
“ถ้ารัฐสภาแห่งนี้มีคณะกรรมาธิการที่เดินคู่ไปพร้อมกับการดำเนินนโยบายของฝ่ายบริหาร จะเป็นหลักประกันที่ให้ความมั่นใจต่อประชาชนในพื้นที่ รวมถึงผู้เห็นต่าง ในการบรรลุข้อตกลงและสร้างฉันทมติที่ทุกฝ่ายจะอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมไทยนี้ได้อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรีไปด้วยกัน” รอมฎอนกล่าว
รอมฎอนยังกล่าวต่อไปว่า ประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งสำหรับประชาชนในพื้นที่คือ ความปลอดภัยจากทั้งความรุนแรงและการได้แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งรัฐสภาแห่งนี้ควรจะเป็นพื้นที่สนทนาพูดคุย ขยายโอกาสในการสร้างสันติภาพ เน้นย้ำให้รัฐบาลมุ่งมั่นจริงจัง ตอบสนองต่อความปลอดภัย ความสงบ และสันติภาพอย่างสร้างสรรค์ ภายใต้สภาวะที่ความขัดแย้งยังคงดำรงอยู่
ในส่วนของการอภิปรายโดย สส. จากพรรคการเมืองต่างๆ ได้มี สส. พรรคก้าวไกลหลายรายร่วมอภิปรายสนับสนุนญัตติดังกล่าว เช่น ชุติมา คชพันธ์ สส. บัญชีรายชื่อ ที่ชี้ให้เห็นถึงการเสียโอกาสทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น สะท้อนผ่านผลิตภาพที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ แต่กลับขาดโอกาสในการพัฒนาจากการดำรงอยู่ของกฎหมายพิเศษในพื้นที่
ส่วน ธิษะณา ชุณหะวัณ สส. กรุงเทพฯ ได้ชี้ให้เห็นปัญหาความไม่เป็นธรรมที่ประชาชนได้รับจากการใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขยายชนวนความขัดแย้งให้รุนแรงขึ้น พร้อมยกตัวอย่างให้เห็นถึงความสำคัญของกระบวนการแสวงหาความจริงและความยุติธรรม และการชดเชยผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ความขัดแย้ง ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการสันติภาพในประเทศต่างๆ ที่สามารถสร้างความปรองดองได้อย่างสัมฤทธิ์ผล
ในช่วงท้าย ที่ประชุมได้เห็นชอบให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษา ติดตาม และส่งเสริมการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้/ปาตานี จำนวน 35 คน โดยกำหนดระยะเวลาในการทำงาน 90 วัน