นับเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่ Bridgestone ผู้นำตลาดยางรถยนต์ของไทย ได้ตัดสินใจที่จะเปลี่ยน ‘แท็กไลน์’ จากที่เคยใช้ ‘Your Journey, Our Passion’ มาสู่ ‘Solutions for your journey’ ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนแค่ประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนพร้อมกันทั่วโลก
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยเหตุผลใด Bridgestone จึงได้ตัดสินใจเปลี่ยน ‘แท็กไลน์’ ที่เป็นดั่งคำมั่นสัญญาของแบรนด์ในช่วงเวลานี้
เราจึงอยากจะชวนคุณมาเจาะลึกกัน!
จาก Bridgestone 1.0 สู่ Bridgestone 3.0
“รับใช้สังคมด้วยคุณภาพที่เหนือกว่า คือพันธกิจของ Bridgestone นับตั้งแต่การก่อตั้งองค์กรมา และเราได้กำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ คือการส่งมอบคุณค่าให้แก่สังคมและลูกค้าในฐานะองค์กรผู้ส่งมอบโซลูชันอย่างยั่งยืนไปสู่ปี พ.ศ. 2593” เคอิจิ ชูมะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ไทยบริดจสโตน จํากัด กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของ Bridgestone ในยุคใหม่
ก่อนจะไปถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ Bridgestone แม่ทัพของ Bridgestone ได้เล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจ ซึ่ง Bridgestone 1.0 เริ่มขึ้นเมื่อมีการก่อตั้งองค์กรขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2474 และได้ขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคเอเชีย เริ่มต้นดำเนินธุรกิจในประเทศสิงคโปร์เมื่อปี พ.ศ. 2508
และด้วยการควบรวมกิจการของ Bridgestone และ Firestone ในปี พ.ศ. 2531 กลายเป็นก้าวสำคัญครั้งใหญ่ของ Bridgestone สู่การเป็นองค์กรระดับโลก นี่จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของ Bridgestone 2.0 ที่สำคัญในยุคนี้ได้มีการเข้าซื้อ Bandag ที่มีนวัตกรรมบริการยางหล่อดอกและการบำรุงรักษารูปแบบใหม่ในปี พ.ศ. 2550 และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ได้ปฏิรูปนำเทคโนโลยีด้านดิจิทัลมาใช้ในการบริหารงาน
ในปี พ.ศ. 2563 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการนำเสนอโซลูชันและเป็นจุดเริ่มต้นของ Bridgestone 3.0 ซึ่ง Bridgestone มุ่งมั่นพัฒนาแพลตฟอร์มการส่งมอบโซลูชันสู่ปี พ.ศ. 2593 และก้าวสู่การเป็นองค์กรผู้ส่งมอบโซลูชันอย่างยั่งยืน
เคอิจิ ชูมะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริดจสโตน เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ไทยบริดจสโตน จํากัด
วิเคราะห์มุมมองจากทั้งภายในและภายนอก
การจะก้าวสู่การเป็นองค์กรผู้ส่งมอบโซลูชันอย่างยั่งยืนได้นั้น Bridgestone ต้องพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกองค์กร
คุณชูมะ ระบุว่า Bridgestone กำลังเผชิญอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่สามารถคาดการณ์สถานการณ์ต่างๆ ได้ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่บอก Bridgestone ว่า วิกฤตที่ไม่สามารถคาดการณ์เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งนำไปสู่การขาดเสถียรภาพและการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในระบบสังคมและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้สังคมต้องการความยั่งยืนจากองค์กร ที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) มากขึ้น
ขณะเดียวกันด้วยเทคโนโลยีและการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัล ทำให้ Bridgestone เข้าใจดีว่า การสร้างคุณค่าจำเป็นต้องใช้ดิจิทัลเข้ามามีบทบาท
ที่สำคัญดิจิทัลยังเปลี่ยนความต้องการของลูกค้าและภูมิทัศน์ของธุรกิจไปอีกด้วย ในส่วนของธุรกิจรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจะผันตัวสู่ธุรกิจแบบ B2B เปลี่ยนจากการเป็นเจ้าของ หรือ Ownership ไปเป็น Usership หรือเน้นการใช้งาน ในขณะที่ทุกอย่างจะถูกเชื่อมต่อกับรถยนต์ ระบบการเดินทางจะถูกยกระดับจากสังคมเมืองสู่สมาร์ทซิตี้ สำหรับอุตสาหกรรมยางรถยนต์ แม้ว่าโครงสร้างกำไรจะลดลง แต่ Bridgestone ยังคงเล็งเห็นว่า อุตสาหกรรมนี้จะสามารถสร้างผลกำไรได้มากกว่าอุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน
จุดเริ่มต้น Bridgestone 3.0
ทั้งหมดนี้กลายเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจระยะกลาง-ยาวของ Bridgestone ซึ่งถือว่าในปี พ.ศ. 2563 เป็นจุดเริ่มต้นของ Bridgestone 3.0 โดยนอกจากจะยึดมั่นความยั่งยืนเป็นพื้นฐานหลักของการบริหารจัดการ Bridgestone จะยกระดับสู่การเป็นองค์กรที่นำเสนอโซลูชัน โดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของธุรกิจยางรถยนต์ของ Bridgestone
ส่งมอบคุณค่าให้แก่สังคมและลูกค้า ไปพร้อมกับรักษาความสามารถในการแข่งขันทางการตลาดได้
“Solution คือการแก้ไขปัญหาด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของ Bridgestone เราจะสร้างคุณค่าร่วมกันระหว่างสังคมและลูกค้า ด้วยการศึกษาพฤติกรรมและข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคผ่านการนำเสนอโซลูชันด้วยนวัตกรรม”
แม่ทัพของ Bridgestone ขยายความว่า Bridgestone จะเดินหน้ายกระดับกิจกรรมของ Bridgestone อย่างต่อเนื่องใน 3 ประเด็นหลัก คือ การเดินทาง, ผู้คน และสิ่งแวดล้อม ภายใต้เจตนารมณ์ในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมของ Bridgestone หรือ Our Way to Serve ซึ่งพื้นฐานของกลยุทธ์นี้ คือการสร้างโมเดลธุรกิจที่เป็นเอกสิทธิ์ของ Bridgestone
นั่นเพราะ Bridgestone รู้ดีว่า การดำเนินธุรกิจหลักด้านผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์ยางเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถสร้างความยั่งยืนในระยะยาวให้กับธุรกิจของ Bridgestone ได้ ดังนั้น Bridgestone จึงต้องเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจให้เป็นธุรกิจด้านการนำเสนอโซลูชันอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนสร้างและนำเสนอคุณค่าใหม่ๆ โดยใช้ข้อมูลด้านการบริหารจัดการยางและข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางมาช่วยเสริมความแข็งเกร่งของธุรกิจหลักของ Bridgestone
หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือนวัตกรรมยางรถยนต์ ‘Air Free Concept’ ซึ่งขณะนี้ Bridgestone อยู่ในขั้นตอนการทดลองยางไร้ลมสำหรับรถบรรทุกเชิงพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกัน Bridgestone เองก็กำลังเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับโซลูชันใหม่ๆ ของ Bridgestone ผ่านศูนย์พัฒนาต่างๆ ที่ตั้งอยู่ทั่วทุกมุมโลก
ลูกค้าคือหัวใจสำคัญของการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมแต่ละตลาดจะต้องกำหนดและใช้กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่เหมาะสมแก่ตลาดนั้นๆ และต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์ระดับโลก โดยใช้ข้อได้เปรียบจากลักษณะเฉพาะของตลาดแต่ละประเทศตามการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ
สำหรับในประเทศไทย Bridgestone ได้ศึกษาสภาพแวดล้อมเช่นกัน โดยประเมินว่า เงินบาทแข็งค่าขึ้นจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจในภูมิภาคตะวันตก และความแข็งแกร่งในการเกินดุลการค้าของประเทศไทย
ในส่วนของการท่องเที่ยวคาดว่าจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลังของปีนี้ ในขณะเดียวกันภาครัฐได้มีมาตรการเยียวยาและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และที่สำคัญไปกว่านั้น พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยได้เปลี่ยนไปใช้บริการร้านค้าออนไลน์, สตรีมมิง และบริการจัดส่งมากขึ้น เนื่องจากผลกระทบของโควิด-19
“ภายใต้ปัจจัยและเงื่อนไขต่างๆ นี้ Bridgestone ต้องปรับตัวได้เร็วตลอดเวลา และสามารถยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งในตลาดได้ เดิมทีการจะเป็นผู้นำตลาดต้องจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้และได้รับส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุด นั่นคือการเน้นที่ปริมาณ แต่สำหรับ Bridgestone 3.0 นั้นทาง Bridgestone จะเดินหน้าส่งมอบคุณค่าแก่สังคมและลูกค้าในฐานะองค์กรผู้ส่งมอบโซลูชันอย่างยั่งยืน
“ดังนั้น Bridgestone จึงยกระดับธุรกิจและปรับใช้กลยุทธ์ Volume to Value หรือกลยุทธ์จากปริมาณสู่คุณค่าในตลาดประเทศไทย สำหรับคุณค่านั้น คือความพึงพอใจและความคาดหวังในผลิตภัณฑ์หรือบริการตลอดการเดินทางของลูกค้า เพื่อสร้างคุณค่าที่แท้จริง”
การมองลูกค้าเป็นศูนย์กลางจึงเป็นหัวใจสำคัญของการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ ด้วยเหตุนี้เอง Bridgestone จึงตระหนักและเข้าใจว่าใครคือลูกค้าของ Bridgestone สิ่งที่ลูกค้าต้องการ และการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการของ Bridgestone คืออะไร
คุณชูมะ ย้ำว่า Bridgestone ต้องรับฟังความคิดเห็นของพวกลูกค้า เพื่อนำมาปรับปรุงและส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณค่าสูงสุดให้ตรงกับความพึงพอใจของลูกค้า และท้ายที่สุด Bridgestone เชื่อมั่นว่าการสร้างคุณค่าสามารถเพิ่มความจงรักภักดีต่อแบรนด์, เพิ่มประสิทธิภาพ และนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของปริมาณหรือผลกำไรอย่างยั่งยืน
ลูกค้าต้องการคุณค่าที่แตกต่างกัน
คุณชูมะ กล่าวว่า Bridgestone ได้แบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็นผู้บริโภค (ผู้ใช้งาน) และพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งมีความต้องการในคุณค่าที่แตกต่างกัน
สำหรับผู้ใช้งาน พวกเขาคาดหวังในคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการที่คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป สำหรับพันธมิตรทางธุรกิจ พวกเขาคาดหวังจะได้รับการสนันสนุนที่เป็นรูปธรรมจาก Bridgestone เพื่อให้การดำเนินธุรกิจอย่างราบรื่นและช่วยสร้างผลกำไรให้มากขึ้น
ดังนั้นสิ่งที่ Bridgestone จะทำ คือการยกระดับการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจของ Bridgestone อย่างครบวงจร จะเดินหน้าผลิตและส่งมอบผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ที่หลากหลาย เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพและความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง
สร้างมาตรฐานการบริการ ไม่เพียงแต่การดูแลยางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดูแลรถและคนในครอบครัว ตลอดจนนำเสนอราคาที่เหมาะสม ในขณะเดียวกัน Bridgestone ยังรักษาความสามารถในการแข่งขันทางการตลาดได้ด้วย
นอกเหนือจากนี้ การสื่อสารถือว่ามีความสำคัญ เนื่องจาก Bridgestone กำลังก้าวจาก Bridgestone 2.0 มาสู่ Bridgestone 3.0 ซึ่งเปลี่ยนจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ ด้วยความหลงใหล สู่การส่งมอบโซลูชันด้านการเดินทางระดับโลก ที่มาพร้อมคุณค่าให้แก่ลูกค้าและสังคม
ดังนั้นในปี พ.ศ. 2564 จึงเป็นการปฏิรูปของ Bridgestone สู่การเป็นองค์กรด้านการส่งมอบโซลูชันด้วยการเปิดตัวแท็กไลน์ใหม่ของแบรนด์นั่นคือ ‘Solutions for your journey’ ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อแสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กรผู้ส่งมอบโซลูชันอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด ‘โซลูชันของทุกจุดหมายที่แตกต่าง’
“หน้าที่ของเราคือการขับเคลื่อนทุกชีวิตไปสู่จุดหมายได้อย่างปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมส่งมอบโซลูชัน เพื่อให้ทุกชีวิตในสังคมปลอดภัย ตอบทุกโจทย์ความต้องการของคุณ ของโลก นับตั้งแต่วันนี้สู่อนาคตต่อไปข้างหน้า”
3 โซลูชันเพื่อลูกค้ากลุ่มยางรถยนต์นั่งและรถบรรทุกขนาดเล็ก
สำหรับกลุ่มยางรถยนต์นั่งและรถบรรทุกขนาดเล็กจะประกอบไปด้วย 3 โซลูชันที่พร้อมทำให้ทุกการเดินทางเป็นไปได้อย่าง ‘ปลอดภัย’ และ ‘มั่นใจ’
ไฮไลต์ที่สุดก็ต้องยกให้ B-iTech ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา โดย B-iTech นั้นจะเป็นโซลูชันที่จะทำให้ลูกค้าและบุคคลในครอบครัวไม่ต้องกังวลกับการที่ต้องคอยตรวจเช็กลมยาง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่สะดวก หรือทำให้เสียเวลาในการตรวจเช็ก
เพราะ B-iTech จะเป็นอุปกรณ์วัดแรงดันลมยางอัตโนมัติ (TPMS) ที่ติดตั้งกับล้อทั้งสี่ของรถยนต์ และมีการเชื่อมสัญญาณผ่านระบบบลูทูธเข้ากับ B-iTech Application ที่ Bridgestone พัฒนาขึ้น ซึ่งจะแสดงข้อมูลต่างๆ ของยางรถยนต์แบบเรียลไทม์
โดยหากเชื่อมต่อเข้ากับ Bridgestone LINE OA ก็จะได้รับการแจ้งเตือนผ่าน LINE ในทันทีหากแรงดันลมยางตํ่าหรือสูงกว่าปกติ ที่สำคัญระบบการเชื่อมต่อข้อมูลแรงดันลมยางจากรถของบุคคลในครอบครัวได้สูงสุด 4 คัน เพียงแค่นี้เราก็จะสามารถตรวจสอบแรงดันลมยางที่เหมาะสมสำหรับทุกคนในครอบครัวได้ตลอดเวลา ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเดินทางตลอดทุกเส้นทาง
สำหรับ B-iTech อยู่ในช่วงของการพัฒนาและเตรียมผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองการใช้งานได้อย่างดีที่สุด โดยคาดว่าจะพร้อมใช้อย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งปีหลัง
ส่วนอีก 2 โซลูชัน จะเป็นโซลูชันที่เข้ามาเสริมสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า สำหรับโซลูชันแรกคือ ‘B-24 hrs’ บริการ Bridgestone Contact Center 24 ชั่วโมง 365 วัน ที่ให้คุณได้อุ่นใจกับการติดต่อกับ Bridgestone ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าของ Bridgestone หรือผู้ที่สนใจอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยางรถยนต์หรือบริการของ Bridgestone
นอกเหนือจากนั้น ในช่วงเปิดตัว B-24 hrs ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่จะถึงนี้ สำหรับลูกค้าที่เปลี่ยนยาง Bridgestone จำนวน 4 เส้น เราขอมอบโปรแกรมช่วยเหลือพิเศษนอกสถานที่ Road Side Assistance ที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงแก่ท่านฟรี ตลอด ระยะเวลา 1 ปีเต็ม
อีกโซลูชันคือ ‘B-care’ เมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการใช้งานทุกกรณีที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้ Bridgestone ประกันเปลี่ยนยางเส้นใหม่ยกชุดถึง 4 เส้นให้ท่าน ถึงแม้อุบัติเหตุจะเกิดขึ้นเพียงล้อใดล้อหนึ่งเท่านั้น โดยบริการนี้จะคิดค่าบริการเพียง 10% ของราคายาง เมื่อซื้อยาง Bridgestone รุ่นที่ร่วมรายการที่ร้าน Cockpit และ A.C.T ทุกสาขาทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบัน Bridgestone มีผู้เข้าร่วมโครงการ B-care กว่า 50,000 ราย ตั้งแต่เปิดโครงการในเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2562
4 โซลูชันเพื่อกลุ่มยางรถยนต์เพื่อการพาณิชย์
สำหรับลูกค้ากลุ่มยางรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ Bridgestone เข้าใจว่า ความปลอดภัย ต้นทุน ความสะดวกสบายเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการทุกท่านมองหา Bridgestone จึงได้นำเสนอ B-Solution เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการรถบรรทุกและรถโดยสารในเรื่อง Safety and Efficiency ทั้งในสินค้าและบริการ คือ
- สินค้า
- บริการ
สินค้า Bridgestone นำเสนอ ‘ยางรุ่น Ecopia’ ที่ช่วยประหยัดนํ้ามันได้ถึง 6% มีอายุการใช้งานที่มากขึ้น ช่วยให้ประหยัดพลังงานและลดต้นทุน ในขณะเดียวกัน Bridgestone ก็ยังมี ‘ยางหล่อดอก’ (Bandag) ด้วยการนำโครงยางเก่าไปหล่อดอกใหม่ ด้วยมาตรฐานและการรับประกันจาก Bridgestone นอกจากจะได้ประหยัดต้นทุนแล้ว ยังสามารถช่วยสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย
บริการ มาพร้อมกันถึง 4 บริการ ได้แก่
- การดูแลรักษายางให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ด้วยระบบ B-Track ที่ช่วยในการตรวจเช็กความลึกของร่องดอกยางและความดันลมยางเป็นประจำทุกเดือน
- บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง หรือ Bridgestone Breakdown Service (BBDS) ช่วยเหลือบนท้องถนนเพื่อให้ธุรกิจของลูกค้าเดินต่อไปได้โดยไม่สะดุด
- บริการการขายแบบเครือข่ายทั่วประเทศ หรือ Central Billing (CTB) ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการที่มีไซต์งานหลายแห่งทั่วประเทศ โดยผู้ประกอบการจะได้รับยางและบริการในราคาเดียวกัน ณ ศูนย์บริการของ Bridgestone ทั่วประเทศ
- B-Finance โดยร่วมมือกับ Credit OK และธนาคาร Tisco ในการปล่อยสินเชื่อระยะสั้นและระยะยาวให้กับผู้ประกอบการ ให้สามารถใช้บริการที่ Bridgestone ได้อย่างสบายใจ พร้อมลูกค้าได้ใช้ยางที่มีคุณภาพและปลอดภัยอีกด้วย
ผู้ประกอบการหลายแห่งทั้งธุรกิจขนส่ง รถโดยสาร และธุรกิจก่อสร้าง ได้มีประสบการณ์ใช้งาน B-Solution ของ Bridgestone แล้ว โดยที่ B-Solution นั้นได้ช่วยผู้ประกอบการให้ได้รับความปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น
ทั้งหมดนี้คือ ‘โซลูชัน’ ที่ Bridgestone พัฒนา โดยมีลูกค้าเป็นส่วนสำคัญ
“หน้าที่ของเราคือการขับเคลื่อนทุกชีวิตไปสู่จุดหมายได้อย่างปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมส่งมอบผ่านโซลูชัน เพื่อให้ทุกชีวิตในสังคมปลอดภัย ตอบทุกโจทย์ความต้องการของคุณ ของโลก นับตั้งแต่วันนี้สู่อนาคตต่อไปข้างหน้า”
ซึ่งวันนี้ Bridgestone ได้นำเสนอ Solutions ที่หลากหลาย ที่จะทำให้ทุกๆ การเดินทางของคุณปลอดภัยและมั่นใจกว่าที่เคย ตามแท็กไลน์ของแบรนด์ที่ว่า ‘Solutions for your journey’ โซลูชันของทุกจุดหมายที่แตกต่าง