×

พักการประชุมสภาฯ วาระกฎหมายนิรโทษกรรม หลัง สส. ภูมิใจไทยห่วงมาตรา 3 อภัยโทษเยาวชน ส่อขัดกับหลักการร่างฯ อนุทิน

โดย THE STANDARD TEAM
21.10.2025
  • LOADING...
พักการประชุมสภาฯ วาระกฎหมายนิรโทษกรรม หลัง สส. ภูมิใจไทย ห่วงมาตรา 3 อภัยโทษเยาวชน ส่อขัดกับหลักการร่างฯ อนุทิน

วันนี้ (21 ตุลาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 32 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. … หรือร่างกฎหมายว่าด้วยการนิรโทษกรรมคดีการเมือง ที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว ระหว่างการพิจารณามาตรา 3

 

ในช่วงหนึ่ง ณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ สส. สงขลา พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า ในมาตรา 3 นี้ มีกรรมาธิการสงวนความเห็นที่น่าสนใจไว้หลายคนคือ ผู้ที่กระทำความผิดอายุเกิน 18 ปี ในขณะกระทำความผิดซึ่งถือเป็นประเด็นใหม่ที่มีความแตกต่างจากกรรมาธิการ เนื่องจากกรรมาธิการไม่ได้บอกอายุ จึงอยากทราบเหตุผลของประธานกรรมาธิการที่เห็นแตกต่างจากเพื่อนสมาชิก เพราะข้อความดังกล่าวผิดหลักการของร่าง อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งถือว่า 1 ใน 3 ของร่างที่สภาฯ รับหลักการไป แม้จะไม่ใช่ร่างหลักแต่ในการพิจารณาก็ต้องไปพิจารณาในหลักการด้วย

 

โดยสาระสำคัญของร่างของพรรคภูมิใจไทย มีการระบุเอาไว้ว่า ไม่รวมความผิดตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งจะส่งผลในมาตรา 6 มาตรา 7 และมาตรา 8 ที่เราจะมีการพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ หากไม่ได้มีการกำหนดในมาตรา 3 ว่าเรื่องอายุไม่เกิน 18 ปี ก็จะมีอีกหนึ่งมาตราที่จะสามารถบรรเทาได้ ซึ่งมาตรา 9/1 เขียนเอาไว้ว่า ให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลในขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยขอให้ใช้มาตรการยุติ โดยไม่ต้องมีคำพิพากษาตามกฏหมายว่าด้วยศาลเยาวชนและครอบครัว โดยให้มีวิธีพิจารณาเยาวชนและครอบครัวและให้ศาลมีอำนาจรับฟังความคิดเห็นของคณะกรรมการเสริมสร้างสังคมสันติสุขที่กำลังจะมีขึ้น ประกอบการพิจารณาสองมาตรการดังกล่าวได้ ไม่ว่าจากคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นใด ฉะนั้น จึงอยากให้ประธานกรรมาธิการ หรือตัวแทนจากคณะกรรมการกฤษฎีกา ช่วยชี้แจงด้วยว่า การแก้ไขมาตรา 3 ขัดต่อต่อหลักการของร่างนายอนุทินหรือไม่

 

ชาดา ไทยเศรษฐ์ สส. อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า ขณะที่กรรมาธิการเสียงข้างน้อยระบุไว้ว่า ในมาตรา 3/1 ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ผ่านคณะกรรมการได้รับการอภัย ขณะที่กรรมาธิการเสียงข้างมากบอกว่า ในมาตรา 9/1 มีเรื่องนี้อยู่แล้ว ส่วนตัวเห็นด้วยกับการให้อภัยเด็ก แต่ไม่ใช่การให้อภัยไปเฉยๆ ต้องมีขั้นตอน และอยากให้ในมาตรา 9/1 ลดขั้นตอนลง โดยขอพักการประชุม แล้วให้กรรมาธิการกับเสียงข้างน้อยไปคุยกัน เพื่อให้ปัญหาจบ การโหวตจะได้ไปในทิศทางเดียวกันทั้งสภาฯ จากความคิดเห็นใดก็ตาม แต่เยาวชนเราก็ต้องดูแล อายุต่ำกว่า 18 ปี ก็อาจจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ แต่ตอนนี้ขัดกันอยู่เพียงเล็กน้อย

 

ด้าน ก่อแก้ว พิกุลทอง สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากที่ได้ฟังมีความคิดเห็นที่หลากหลาย แต่ส่วนตัวคิดว่า อยากได้เหมือนที่ชาดาเสนอว่า เราควรหาทางออกให้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ที่เขาทำความผิดในขณะที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ความคิดอ่านอาจจะไม่โตพอ พลั้งเผลอไป ฉะนั้น หากสภาฯ แห่งนี้สามารถแก้ไขปัญหาชีวิตให้เขาได้ ก็จะเป็นพระคุณอย่างใหญ่หลวงของสังคมไทยและเด็กเหล่านั้น เพื่อให้เขามีชีวิตใหม่ มีอนาคตใหม่ และเชื่อว่าหากเขาผ่านจุดนี้ไปได้ เขาจะเป็นคนดีต่อสังคมไทยมากกว่าเดิมอย่างยิ่ง

 

จากนั้น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ ลุกขึ้นชี้แจงว่า ได้รับฟังความเห็นจากหลายฝ่าย พบว่ามีหลักการที่พรรคการเมืองส่วนใหญ่ในสภาฯ แห่งนี้เห็นด้วย คือการกำหนดข้อยกเว้นดังกล่าว แล้วได้ประเมินต่อไปว่า หากผ่านการพิจารณาของสภาฯ และต้องไปพิจารณาต่อในชั้นของวุฒิสภา คงจะไม่สามารถไปต่อได้ และคงต้องตีกลับมาอีก โดยหลักการ หากวุฒิสภาตีกลับมา สส. จะมีเวลา 6 เดือน เพื่อลงมติยืนยันกลับไปใหม่

 

“แต่ด้วยสถานการณ์ ณ วันนี้ ผมมั่นใจว่าสภาฯ จะมีอายุอยู่ไม่ถึง 6 เดือน ผมจึงเดินเข้ามา แม้จะมีเสียงทักท้วงว่า ถ้าเดินเข้ามาจะเจ็บตัวแน่นอน หลังจากที่ผมได้รับโหวตให้เป็นประธานกรรมาธิการ ก็ได้หอบหลักการทั้ง 3 ร่าง ไปพบกับองค์กรสำคัญ เพื่อขอคำแนะนำว่า จะมีช่องทางใดบ้างที่จะสามารถช่วยเด็ก เยาวชนได้ จนกระทั่งได้ออกมาเป็นเนื้อหาของมาตรา 9/1” ณัฐวุฒิกล่าว

 

ณัฐวุฒิกล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ ได้มีการหารือกับคณะกรรมาธิการคนอื่น ให้มีการเสนอปรับแก้จาก “มิให้มีผลบังคับใช้” เป็น “มิให้มีผลนิรโทษกรรมแก่” ความผิด 3 ฐานความผิด ซึ่งเมื่อมีการปรับแก้ จึงเกิดเป็นมาตรา 9/1 ว่าเยาวชนที่ต้องคดีในวันที่อายุไม่ถึง 18 ปี สามารถยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ และหากคณะกรรมการเห็นชอบ ก็ยื่นคำร้องต่ออัยการ หากคดีอยู่ในชั้นอัยการก็สามารถชี้ขาดได้เลย แต่หากคดีไปถึงชั้นศาลแล้ว ก็ให้ศาลชี้ขาด เป็นไปตามหลักบัญญัติกฎหมายทุกประการ และมั่นใจว่าจะไม่มีความขัดแย้งใหม่ หรือขัดแย้งใหญ่ เพิ่มขึ้นมา เพราะนี่คือกระบวนการตามกฏหมายเดิมปกติ เพียงแค่เขียนให้ชัดเจนและให้ปรากฏบทบาท ปรากฏอำนาจ ปรากฏองค์กรที่จะรับผิดชอบดำเนินการ ทั้งตั้งต้นและปิดท้าย

 

“ผมคงไม่ใช่คนกล้าหาญอะไรนัก แต่ชีวิตที่ผ่านมาก็ไม่เคยหนีใครเช่นกัน แต่ที่ผมกังวลคือจะไปตกในชั้นวุฒิสภา ซึ่งจะมีความเสียหายทั้งฉบับ และเรามีข้อมูลว่า หากร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่าน แม้จะไม่รวมความผิดตามมาตรา 112 คนหลายพันคนจะได้รับผลกับมัน ดังนั้น พวกท่านจะหารือกันอย่างไร ผมไม่ขัดข้อง แต่อย่าให้เกิดความเสี่ยง เพราะมันจะตกทั้งฉบับ และขอให้ความมั่นใจกับเราให้ได้ว่า จะผ่านในชั้นวุฒิสภาแน่ๆ เรื่องนี้ไม่ควรเกิดวันนี้ ไม่ควรเกิดที่นี่ และวินาทีนี้ แต่ควรจะเกิดตอนที่ท่านตกลงจะโหวตตั้งรัฐบาลชุดนี้ขึ้นมา หากมีการหารือประเด็นนี้ในวันนั้น ผมค่อนข้างเชื่อว่าทิศทางกับคำตอบมน่าจะชัดเจน ก่อนที่เราจะเดินทางมาถึงห้องประชุมสภาฯ ในวันนี้” ณัฐวุฒิกล่าว

 

ณัฐวุฒิยังกล่าวต่อไปว่า ต่อให้ไม่ได้พูดคุยกันก่อนที่จะตั้งรัฐบาล หากก่อนเข้าห้องประชุมนี้ ท่านคุยกันให้ชัด และให้ความมั่นใจกับทุกพรรคที่อยู่ในกรรมาธิการได้ ตนเองคิดว่า ก็สามารถคุยกับพรรคพวกได้ แต่เวลานี้คุยกันลำบาก เพราะพรรคพวกหลายพรรคที่อยู่ตรงนี้ เขากังวลว่าหากวุฒิสภาตีตก ก็จะตกเลย และจะไปเอาอะไรกับท่านไม่ได้ด้วย แล้ววันนี้หากดูตามกรอบระยะเวลาของสมัยประชุมพบว่า เหลือเพียงแค่ 1 วัน ที่กฎหมายนี้จะชี้ชะตาว่าจะเอาอย่างไร จะผ่าน หรือไม่ผ่าน และจะผ่านแบบไหน

 

ส่วนที่ชาดาเสนอว่าให้ลองนำเนื้อหามาตรา 3 ที่สมาชิกแปรญัตติกับมาตรา 9/1 ที่เสนอไว้แล้วมาประมวลดูว่าจะทำให้กระชับขั้นตอนได้อย่างไร ณัฐวุฒิกล่าวว่า ส่วนตัวไม่ขัดข้อง แต่ต้องยืนยันให้ได้ว่า จะไม่ไปตกในชั้นวุฒิสภา เพราะหากเป็นเช่นนั้น ตนเองจะรับผิดชอบไม่ไหว ต้องรับผิดชอบด้วยกันทั้งสภาฯ

 

ขณะที่ ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายคัดค้านกรรมาธิการเสียงข้างน้อย โดยระบุว่า เห็นใจเด็กที่อาจทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์​ อยากให้อภัย แต่สิ่งที่กระทบคือ ปัญหาบ้านเมืองในเชิงกฎหมาย การอภัยส่วนตัว เราให้อภัยได้ แต่เชิงกฎหมายทำไม่ได้ สำหรับมาตรา 112 เข้าใจอยู่ว่าอยู่ในหัวอกคนไทยทุกคนที่จะปกปักษ์รักษา เทิดทูนสถาบันไว้ หากปล่อยให้ละเมิดกฎหมายความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย หลักนิติธรรมจะถูกด้อยลงไป

 

“ผมไม่เห็นด้วยที่บอกว่าให้วิปไปตกลงกัน ซึ่งวิปตกลงกันแต่ต้องคำนึงถึงหลักของบ้านเมือง กรณีแปรญัตติ สงวนความเห็นที่ขัดหลักการทำไม่ได้ ไม่ใช่ตาขยิบกันแล้วจะต้องเห็นด้วยกัน ผมไม่สบายใจ เพราะการทำงานในสภาฯ ไม่ใช่อะลุ่มอะล่วยกัน เพราะนัยของกฎหมายมีข้อจำกัด การเสนอญัตติที่เป็นร่างกฎหมายต้องไม่ขัดกับหลักการ บ้านเป็นบ้าน เมืองเป็นเมือง มีหลักนิติธรรม มีหลักนิติรัฐ มีหลักกฎหมาย หากปล่อยให้คนละเมิดกฎหมาย แล้วแก้ไขโดยนิรโทษกรรม จะทำให้ด้อยความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายได้” ประยุทธ์กล่าว

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการอภิปรายมาตราดังกล่าว ไม่สามารถหารือจนได้ข้อสรุป ทำให้ ณัฐวุฒิ บัวประทุม สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เสนอให้ ฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุมในขณะนั้น ให้พักการประชุม เพื่อให้วิปและกรรมาธิการหาข้อยุติร่วมกัน

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising