วันนี้ (12 กันยายน) เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลุกขึ้นชี้แจงเป็นครั้งที่ 6 ของวัน หลังพรรคก้าวไกลอภิปรายนโยบายรัฐบาลเรื่องการทหารว่า นโยบายรัฐบาลไม่มีความชัดเจนเรื่องการปฏิรูปกองทัพและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ และมองว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นแค่เมสเซนเจอร์ หรือโฆษกของกองทัพ ไม่กล้ามีปากมีเสียงหรือแม้แต่จะค้านอะไร ทำได้แค่รับคำสั่งจากกลาโหมแล้วส่งให้ ครม. อนุมัติ
เศรษฐากล่าวว่า ตนฟังมาก็เกือบสอง 2 วันเต็มแล้ว เป็นอะไรที่ผมเชื่อว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่ฝังรากลึกคือเรื่องของการด้อยค่ากัน ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองด้วยกันเอง ทั้งที่ยังไม่ได้บริหารราชการ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันทหารอันทรงเกียรติ ซึ่งแน่นอนว่าทุกสถาบัน ทุกหน่วยงาน มีทั้งคนดี คนไม่ดี
เศรษฐากล่าวต่อว่า การที่เรามีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นจุดเริ่มต้น ในการที่เราจะเข้ามาช่วยกันแก้ไขสะสางปัญหาที่หมักหมมมานาน เป็นปัญหาใหญ่ เป็นเรื่องของการไม่เข้าใจกัน เป็นเรื่องของช่องว่างที่มีระหว่างกัน รวมถึงประเด็นที่ยกมาอภิปรายคือประเด็นของทหาร
เศรษฐายืนยันว่ารัฐบาลของประชาชนภายใต้การนำของตน ใช้คำว่าพัฒนากองทัพ เชื่อว่าความหมายใกล้เคียงกัน ผลลัพธ์ออกมาอาจจะแตกต่างกันบ้างตามการที่เปลี่ยนไป ตามขีดจำกัดในการทำงาน ตามผลลัพธ์ที่เราอยากออกมาให้เห็น สังคมเดินไปข้างหน้าได้ ลดความขัดแย้ง ลดการใช้วาทกรรมที่มีการด้อยค่ากันในสภาอันทรงเกียรตินี้ เมื่อกี้ที่ฟังไปเห็นใบหน้ายิ้มแย้มหัวเราะเยาะกันไป แทนที่จะทำให้บรรยากาศในการทำงานร่วมกัน รวมถึงการเจรจาและพัฒนาสถาบันทหารควบคู่กันไปเพื่อพี่น้องประชาชนให้เป็นไปด้วยดี อาจจะลำบากมากขึ้น
“ผมในฐานะผู้นำรัฐบาลมีความเป็นห่วงจริงๆ ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ ในการใช้วาทกรรมด้อยค่ากัน ผมว่าผมพูดมามากพอในเรื่องนี้แล้ว ว่าการที่เราจะพัฒนากองทัพร่วมกัน ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องให้เกียรติกองทัพและภาคการเมืองที่ต้องมีเวลาในการทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเกณฑ์ทหารแบบสมัครใจ ยืนยันว่าเพื่อให้พี่น้องประชาชนทุกคนมีสิทธิในการเลือกประกอบอาชีพอย่างสมศักดิ์ศรีโดยดำรงไว้ซึ่งความมั่นคงของสถาบันทหาร เมื่อยามที่ต้องการการปกป้องอธิปไตยของคนไทย” เศรษฐากล่าว
เศรษฐากล่าวต่อว่า ทหารเป็นภาคส่วนที่มีวินัยสูง ที่ผ่านมาได้พูดคุยกับผู้นำเหล่าทัพเป็นการเบื้องต้นอย่างผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยากเห็นบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้ เรื่องของการเคารพ การมาช่วยกันพัฒนาประเทศ ซึ่งทหารก็ยืนยันว่าพร้อมที่จะเข้ามาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในยามที่เกิดปัญหา
ส่วนเรื่องของการจัดซื้ออาวุธก็มีการพูดคุยกันว่าจะซื้อเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเปราะบาง และรัฐบาลต้องการงบประมาณในการจัดสรรไปด้านอื่นๆ ที่อาจจะมีความจำเป็นมากกว่า
ขณะที่การนำพื้นที่ทหารมาให้พี่น้องประชาชนทำมาหากินก็เป็นเรื่องหนึ่งที่มีการพูดคุยกัน ซึ่งมีการตอบรับที่ดีจากกองทัพ ไม่ใช่แค่จัดการพื้นที่บางส่วนให้เข้าไปเช่าไปหรือโยนไปแค่บางส่วน แต่จะมีการพัฒนาพื้นที่เหล่านั้นให้มีความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นระบบชลประทาน เพื่อให้พี่น้องประชาชนเข้ามาสามารถทำมาหากินได้ จึงขอเวลาทำงานก่อน เพราะตนเพิ่งเข้ามา ไม่อยากได้ยินการด้อยค่าของกันและกัน โตแล้ว
ทำให้ รังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ลุกขึ้นมาประท้วง ว่าเศรษฐากำลังใช้ถ้อยคำเสียดสี ซึ่งหากเศรษฐารู้สึกถูกด้อยค่าหรือถูกเสียดสีก็ขอให้เศรษฐาหยุดใช้ถ้อยคำเสียดสีก่อนหน้า
ขณะที่ พรเพชร วิชิตชลชัย ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เห็นว่าการอภิปรายของพรรคก้าวไกลก็ใช้คำพูดรบกับเศรษฐา และตนก็เห็นว่าเศรษฐาไม่ได้ใช้คำเสียดสีอะไร จึงขอให้เศรษฐาชี้แจงต่อ
จากนั้น เศรษฐาได้ชี้แจงต่อโดยระบุว่า อีกหนึ่งประเด็นที่อยากชี้แจงต่อที่ประชุมคือปัญหาการซื้ออาวุธที่ค้างมาจากรัฐบาลก่อนๆ ตนคงไม่บอกว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยในการซื้อยุทโธปกรณ์บางชนิด แต่วันนี้เราได้มาแล้ว ก็จะดูทุกอย่างให้มีความพร้อม เช่น เรื่องของเครื่องยนต์เรือดำน้ำก็มีการพูดคุยกันกับกองทัพ และในการเดินทางไปร่วมประชุมสหประชาชาติที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาในสัปดาห์หน้านี้ ได้ให้ทางกระทรวงการต่างประเทศนัดไปเจรจากับผู้นำระดับสูงของเยอรมนี หากมีความคืบหน้าก็จะนำมาชี้แจง พร้อมย้ำเมื่อมีไทม์ไลน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ของกองทัพก็จะนำมาชี้แจง
“ประเทศของเราต้องการความสมัครสมานสามัคคี เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน คนมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ปัญหาต้องถูกแก้ไขด้วยการพูดจากัน ด้วยความเข้าใจ มีเป้าหมายที่ชัดเจน ยืนยันครับว่าถ้าได้จัดการปัญหาต่างๆ แล้วจะมีการนำเสนอ ส่วนเรื่องที่หลายคนคิดว่าอาจมีการทุจริต ตนเชื่อว่าจะมีการหาหลักฐานกันอยู่แล้ว พร้อมให้ตรวจสอบ”