×

ชนเผ่าพื้นเมืองทั่วประเทศฉลองหลังรัฐสภาผ่าน พ.ร.บ. คุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์

โดย THE STANDARD TEAM
19.09.2025
  • LOADING...
พ.ร.บ. คุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์

วันนี้ (19 กันยายน) ภายหลังเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการฯ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 เมื่อวานนี้ (18 กันยายน) ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 19 กันยายน 2568 โดยมีจุดมุ่งหมายคุ้มครองสิทธิกลุ่มชาติพันธุ์ให้ดำรงวิถีชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

 

จึงนำมาสู่การจัดงาน ‘ภูมิปัญญาชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ สร้างสรรค์สังคมไทย’ ระหว่างวันที่ 19–21 กันยายน 2568 ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร กรุงเทพฯ ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองจากทั่วประเทศ ได้มารวมตัวกันเพื่อร่วมเฉลิมฉลองการประกาศใช้ พ.ร.บ. คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 ส่งผลให้ประเทศไทยกำลังกลายเป็นประเทศที่ 4 ในภูมิภาคอาเซียนต่อจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ที่มีกฎหมายคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์

 

ผศ.ดร.แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง ผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรฯ กล่าวในพิธีเปิดว่า ศูนย์มานุษยวิทยาฯ ในฐานะหน่วยงานหลักที่ร่วมผลักดันร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ร่วมกับเครือข่ายพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ได้กล่าวเปิดงานว่ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ปี 2568 นี้ การจัดงานรณรงค์เนื่องในวันสากลว่าด้วยชนพื้นเมือง ได้เป็น ‘หมุดหมายที่สำคัญของสังคมไทย’ เพราะรัฐสภาได้มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งถือเป็น พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ฉบับแรกของประเทศไทย และเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในการยกระดับการคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรมให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล

 

ทางด้านตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองที่ได้เดินทางมาจากทั่วประเทศ ก็ได้แสดงความคิดเห็นหลัง พ.ร.บ. คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 ประกาศใช้เป็นวันแรก โดย ปิ่นสุดา นามแก้ว ตัวแทนจากชาติพันธุ์ดาราอั้ง ระบุว่า กฎหมายฉบับนี้จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่เข้ามาคุ้มครองวิถีชีวิต อัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ให้สามารถดำเนินวิถีชีวิตของตนเองต่อไปได้

 

“กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้ให้อภิสิทธิ์แก่ใคร แต่เป็นกฎหมายที่ยืนยันว่าเรามีสิทธิ ในเรื่องของการดำรงวิถีชีวิตของเราได้ กฎหมายฉบับนี้เหมือนเครื่องยืนยันว่าเรามีวิถีอัตลักษณ์ของเราอย่างไร ก็สามารถใช้ชีวิตแบบที่เราเคยมีต่อไปได้ เพราะมันคือสิทธิในสิ่งที่เราพึงมีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” ปิ่นสุดากล่าว

 

ทางด้าน เดียว ทะเลลึก ตัวแทนจากชาติพันธุ์อูรักลาโว้ย เปิดเผยว่า  ชาวอูรักลาโว้ยเดินทางอพยพมาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ 500 ปีที่แล้วจากฝั่งอินโดนีเซีย โดยทำมาหากินกันในโซนทะเลอันดามันตั้งแต่เกาะภูเก็ต, เกาะหลีเป๊ะ, และเกาะลันตา เป็นต้น โดยมีอาชีพหลักทำการประมง และอาชีพรับจ้างให้กับธุรกิจท่องเที่ยวตามวิถีชีวิตและโลกที่เปลี่ยนไป

 

เดียวกล่าวว่า เขาดีใจมากที่กฎหมายผ่าน เพราะได้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนกฎหมายฉบับดังกล่าวนี้มาร่วม 10 ปี เขาหวังว่าหลังจากกฎหมายฉบับนี้ผ่าน ชาวอูรักลาโว้ยจะมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีที่อยู่อาศัยที่ทำกินที่มั่นคง รวมทั้งยังคงสามารถดำรงไว้ซึ่งพื้นที่ทางจิตวิญญาณ

 

“ชาวอูรักลาโว้ยมีภาษาและวัฒนธรรมเป็นของตนเอง  ถ้าไม่มีกฎหมายนี้อัตลักษณ์เหล่านี้ก็จะหายไปจากสังคมไทยในสักวันหนึ่ง และถ้าไม่หลงเหลืออัตลักษณ์ที่บ่งบอกตัวตนชาติพันธุ์ของเรา ความภูมิใจมันก็จะเลือนหายไปจากตัวเรา”  เดียวกล่าว

 

ทางฝั่งตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ไตดำจากภาคกลาง ขวัญเมือง เรียนผง ผู้อาวุโสของชาวไตดำ ก็ได้กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่กฎหมายที่จะมีมาเพื่อคุ้มครองคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นกฎหมายที่จะคุ้มครองคนที่อยู่ประเทศไทยตั้งแต่เหนือจรดใต้ อยู่บนภูเขาจรดทะเล เธอมีความหวังว่ากฎหมายดังกล่าวจะช่วยคุ้มครองภาษาไตดำที่กำลังสูญหาย และทำให้อัตลักษณ์ของชาวไตดำอยู่คู่กับสังคมไทยได้ต่อไปอย่างยั่งยืน

 

ภายในงานภูมิปัญญาชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ สร้างสรรค์สังคมไทย ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายทั้งการจำหน่ายสินค้าและผลผลิตทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์ และอื่น ๆ จากชุมชนชนเผ่าพื้นเมือง, การแสดงดนตรีและวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง รวมทั้งนิทรรศการต่างๆ ที่จะจัดขึ้นวันที่ 19–21 กันยายน 2568 ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร กรุงเทพฯ

 

 

ภาพ: เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising