×

รัฐสภาถกเดือด ญัตติส่งศาลตีความอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฝ่ายค้านฯ ชี้ รธน. สะดุดเพราะเกมการเมือง-นายกฯ ต้องโชว์ภาวะผู้นำ

โดย THE STANDARD TEAM
17.03.2025
  • LOADING...

วันนี้ (17 มีนาคม) ที่อาคารรัฐสภา ตั้งแต่เวลา 12.05 น. ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 6 (สมัยที่สามัญประจำปีครั้งที่ 2) เป็นพิเศษ ที่มี วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และ มงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม เริ่มเข้าสู่วาระพิจารณาเรื่องด่วน 2 เรื่อง 

 

  1. ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ซึ่งเป็นญัตติของ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็นผู้เสนอ

 

  1. ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ซึ่งเป็นญัตติของ วิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) และประธานกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) เป็นผู้เสนอ

 

อย่างไรก็ตาม สองญัตติเกี่ยวกับอำนาจของรัฐสภาในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มหมวดการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อมายกร่างฉบับใหม่นั้น ประธานในที่ประชุมเห็นว่า เป็นเรื่องทำนองเดียวกันรวมระเบียบวาระการประชุมเพื่อพิจารณาและลงมติพร้อมกันได้ตามข้อบังคับ 33 (1) (3) 

 

นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวถึงหลักการและเหตุผลว่า เมื่อวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐสภาได้พิจารณาหลักการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่รวม 2 ฉบับ แต่เนื่องด้วยจากสมาชิกรัฐสภามีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน จนทำให้ไม่สามารถดำเนินการการประชุมได้ทั้ง 2 วัน ซึ่งก่อให้เกิดอุปสรรคของสมาชิกของรัฐสภาเป็นอย่างมาก วันนี้จึงหวังใจว่าสมาชิกรัฐสภาจะได้ร่วมใจกันพิจารณาอย่างถ่องแท้ว่า ญัตติที่ตนเองนำเสนอนั้น จะมีประโยชน์ต่อที่ประชุม และขอให้ประเด็นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็น ดังนี้

 

  1. รัฐสภามีอำนาจในการพิจารณา และลงมติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่มีการเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยที่ยังไม่มีทำประชามติ ว่าประชาชนประสงค์ที่จะให้ทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสียก่อนหรือไม่ ได้หรือไม่
  2. หากรัฐสภามีอำนาจพิจารณา และลงมติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมได้แล้ว การดำเนินการจะจัดให้มีการทำประชามติว่าประชาชนประสงค์ที่จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สามารถกระทำภายหลังที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมแล้ว โดยทำพร้อมกับการทำประชามติว่าประชาชนเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมหรือไม่ ได้หรือไม่ 

 

ขณะที่ วิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) และประธานกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงหลักการและเหตุผลว่า ตนเองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่า เมื่อประธานได้มีการบรรจุวาระร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 เข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาแล้ว เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้เกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจ เนื่องจากยังไม่มีการทำประชามติว่าประชาชนอยากที่จะให้แก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ 

 

แต่ขณะเดียวกัน สมาชิกรัฐสภาจำนวนหนึ่งเห็นว่ารัฐสภามีหน้าที่และมีอำนาจในการพิจารณาและลงมติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับ โดยเห็นว่าการลงมติครั้งนี้เพียงเป็นเพียงการแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้มีหลักเกณฑ์ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 

 

ทั้งนี้ หมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น ภายหลังที่รัฐสภาเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม จึงดำเนินการให้มีการทำประชามติ ว่าประชาชนประสงค์ให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ซึ่งถือว่าเป็นการจัดทำประชามติก่อนทำรัฐธรรมนูญเช่นกัน ซึ่งเห็นว่าสอดคล้องและเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4 /2564

 

เมื่อมีสมาชิกของรัฐสภามีความเห็นที่ขัดแย้งเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ในการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น จึงทำให้รัฐสภาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ ในขณะเดียวกันก็ยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว 

 

วิสุทธิ์กล่าวว่า ตนเองจึงตั้งญัตติตามข้อบังคับการประชุมสภา 2563 ข้อ 32 ประกอบด้วยข้อ 31 เพื่อให้รัฐสภามีมติให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา และวินิจฉัยเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาว่า รัฐสภาจะสามารถพิจารณาและลงมติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่มีการบัญญัติให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยที่ยังไม่มีการทำประชามติจากประชาชนว่ามีความประสงค์ที่จะให้แก้ไขรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ 

 

นายกฯ ต้องโชว์ภาวะผู้นำ

 

พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภา ซึ่งพิจารณาญัตติด่วน เรื่องขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ว่า การส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญนั้นไม่มีความจำเป็น และเพียงพอที่จะทำให้รัฐบาลนั้นประสบความสำเร็จเพื่อรักษาคำพูดของตนเองในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป พร้อมทั้งย้ำว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนนั้นไม่ได้ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

 

พริษฐ์กล่าวตั้งคำถามถึงเจตนารมณ์ของพรรคร่วมรัฐบาล สส. และ สว. กลุ่มที่หัวใจ รวมถึงเจตจำนงของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารได้ดำเนินการอะไรไปแล้วบ้างหรือไม่ ในการคลายความกังวลของพรรคร่วมรัฐบาลซึ่งมีระยะเวลากว่า 2 เดือน แต่กลับไม่มีร่างของคณะรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่เป็นนโยบายของรัฐบาล หากศาลรัฐธรรมนูญไม่รับไว้พิจารณาเหมือนที่เคยเกิดขึ้น หรือรับไว้พิจารณาแต่ไม่มีคำวินิจฉัยที่ชัดเจนหรือไม่วินิจฉัยเพิ่มเติมจากปี 2564 จะทำให้รัฐสภากลับมาสู่จุดเดิม ดังนั้นสิ่งที่จะทำได้คือต้องอาศัยเจตจำนงของนายกฯ ต้องโน้มน้าวสมาชิกรัฐสภาซีกรัฐบาล ซึ่งภารกิจดังกล่าวไม่มีศาลรัฐธรรมนูญช่วยได้ 

 

“ทางออกเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล สิ่งที่รัฐสภาควรทำมากที่สุดคือการส่งสัญญาณดังๆ ไปถึงทำเนียบรัฐบาลว่าถึงเวลาแล้วที่ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องแสดงภาวะความเป็นผู้นำ เป็นเจ้าภาพ และสร้างความเป็นเอกภาพของพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อผลักดันนโยบายเรือธงของตนเองในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้สำเร็จ”

 

คนวิกลจริต ทำสิ่งเดิม แต่หวังผลใหม่

 

ส่วน นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อภิปรายว่า 32 วันผ่านไป สมาชิกรัฐสภากลับมานั่งที่เดิม กลับมาพิจารณาญัตติเดิม ซึ่งทั้ง 2 ญัตตินั้นแม้เขียนให้แตกต่างกัน แต่ก็มีความหมายตรงกัน คือการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญในการแก้รัฐธรรมนูญจะต้องทำประชามติกี่ครั้ง แล้วเหตุใดยังต้องมีการส่งเรื่องนี้ให้ศาลพิจารณาอีก

 

นันทนากล่าวตอนหนึ่งว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญระบุชัดเจนว่า มีการลงมติแค่ 2 ครั้ง โดยที่ไม่ได้มีการระบุว่าจะต้องมีการทำประชามติ 3 ครั้ง แล้วเหตุใดจึงต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญอีก หรืออยากจะให้ศาลรัฐธรรมนูญเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัย ซึ่งไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า มีแต่คนวิกลจริตเท่านั้นที่ทำแต่สิ่งเดิมๆ ซ้ำๆ แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง 

 

นันทนามองว่า การส่งศาลนั้นจะใช้เวลาอีกเป็นเดือน เพื่อที่จะรับคำตอบเดียวกับเมื่อปีที่ผ่านมา การกระทำเช่นนี้เป็นการยืดเยื้อการทำรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งเฉกเช่นเดียวกับร่างพระราชบัญญัติประชามติที่มีการยื้อจนไม่ทันการเลือกตั้ง อบจ. ที่ผ่านมา ซึ่งคนที่ใช้กลยุทธ์นี้คือคนที่เตะถ่วงการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาโดยตลอด 

 

“เราอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยภายใต้การกำกับของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ว่าย่างก้าวที่จะต้องถามศาลรัฐธรรมนูญจนพร่ำเพรื่อ ซึ่งถือว่าเกินขอบเขตอำนาจหรือไม่ ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นอำนาจเดียวที่มาจากประชาชนโดยตรง แล้วเหตุใดจึงจะต้องถามศาลรัฐธรรมนูญในทุกเรื่อง การดุลและคานอำนาจของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ยังคงใช้ในประเทศของเราได้หรือไม่ หากยังใช้ได้เราต้องหนักแน่นและชัดเจนในอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ”

 

ส่งศาลแค่ 1 เดือน เพื่อผลลัพธ์ใหม่

 

ขณะที่ สุทิน คลังแสง สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวสนับสนุนญัตติว่า รู้สึกภูมิใจที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งที่ต้องถูกตีตกตั้งแต่วันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แม้ว่าจะทำด้วยวิธีการที่ไม่ภูมิใจ ซึ่งมีเพื่อนสมาชิกหลายคนได้อภิปรายว่าเป็นการเตะถ่วง หรือบางคนบอกว่าเรากำลังเปิดประตูเพื่อขยายอำนาจตุลาการ

 

สุทินย้ำว่า ทุกพรรคการเมืองที่ประกาศว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น มีการพิสูจน์มาตั้งแต่รัฐสภาชุดที่แล้ว ซึ่งทุกพรรคการเมืองที่ต้องการแก้ไขนั้น มีข้อสรุปที่เห็นตรงกันว่า ปัญหาและกำแพงที่ยังก้าวข้ามไม่ได้คือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2564

 

พร้อมทั้งเชื่อว่าการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความจะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน ถ้าไม่ตีความให้ชัดเจนจะมาเจอวังวนเดิม ถ้าให้เลือกว่าเป็นการเตะถ่วงตนเลือกเอาเตะถ่วง ดีกว่าส่งรัฐธรรมนูญไปตกตาย และพรรคเพื่อไทยไม่มีเจตนาที่จะเตะถ่วงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยความมุ่งหวังที่จะฝ่าทางตัน ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชัดเจนของศาลรัฐธรรมนูญที่มีการกล่าวอ้างกันมากมาย เมื่อศาลมีคำวินิจฉัยออกมาจะมีความชัดเจนมากขึ้น และจะได้ทราบว่าใครคือของจริงของปลอม 

 

สุทินกล่าวต่อว่า โลกแห่งอุดมการณ์ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรมายุบพรรค เพราะคนที่ยุบพรรคคือประชาชน แต่โลกความจริงยุบมาแล้วกี่พรรค บางพรรคยุบมาแล้วกี่ครั้ง และในโลกอุดมการณ์ นายกฯ ไม่ควรถูกปลดด้วยข้อหาทำกับข้าวออกทีวี และนายกฯ ไม่ควรถูกปลดด้วยข้อหาจริยธรรมง่ายๆ เหมือนปีที่แล้ว ทั้งนายกฯ สมัคร หรือนายกฯ เศรษฐา ไม่ควรโดน 

 

แต่โลกความจริงมันโดนแล้ว และไม่รู้ว่าวันข้างหน้าใครจะโดนอีก ถ้าอยู่ในโลกความจริง และเป็นอำนาจของจริง ประชาชนจริง ตอนนี้แก้ไขรัฐธรรมนูญเรียบร้อยไปแล้ว การยื่นตีความให้เกิดความชัดเจน พวกผมจะได้ไม่เอาผ้ามัดตาเดิน หรือจะเสี่ยงเอาผ้ามัดตาเดินต่อ แล้วไปตกบ่อตายคุณจะโทษใคร แต่ถ้าเปิดตาเดินเลย เสียเวลานิดเดียว

 

“หลายคนชอบอ้างไอน์สไตน์ว่า คนโง่เท่านั้นที่ทำวิธีการเดิม แล้วคิดว่าจะได้คำตอบใหม่ ถ้าไอน์สไตน์ยังมีชีวิตอยู่แล้วทำวิธีเดิม ในบริบทเดิม แน่นอนว่าไอน์สไตน์พูดถูก แต่หากทำวิธีเดิมในบริบทใหม่ ไอน์สไตน์ก็ต้องคิดใหม่ ฉะนั้นผมมั่นใจและภูมิใจที่จะสนับสนุนให้นำญัตตินี้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ” สุทินกล่าว

 

แก้ รธน. สะดุด เพราะเกมการเมือง 

 

ขณะที่ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายสรุปว่า วันนี้ตนอยากถามถึงเหตุและผลที่เรามาเถียงกันในวันนี้ ว่าเป็นเหตุผลทางการเมือง หรือเป็นเหตุผลทางข้อกฎหมาย เพราะถ้าเป็นเหตุผลทางการเมือง เราต้องแก้ด้วยการเมือง หากใช้ข้ออ้างเรื่องข้อกฎหมาย ตนคิดว่าอย่างไรก็ไม่ได้คำตอบ

 

ดังนั้นอยากให้สื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมาจริงใจว่า พวกเราไม่ได้ดื้อ แต่เราเห็นปัญหาที่มีอยู่ แต่ท่านเองควรออกมาสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาเช่นกันว่า ที่ท่านยังเดินหน้าแก้ไขต่อไม่ได้ เพราะเพื่อนสมาชิกร่วมรัฐบาลบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย แต่เป็นเรื่องการเมืองที่เพื่อนสมาชิกบางส่วนไม่มีแรงจูงใจทางการเมืองให้แก้ 

 

หากแก้ไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ตนถึงตั้งคำถามว่าเพื่อนสมาชิกเหล่านั้นเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสภาหรือไม่ แก้แล้วเขาจะเสียอำนาจลงไปหรือไม่ นี่ต่างหากที่เป็นเหตุขัดข้องทำให้กระบวนการการแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้าต่อไม่ได้ 

 

ดังนั้น ตนอยากให้เพื่อนสมาชิกทุกคนมาประเมินผลได้ผลเสียของการลงมติในญัตตินี้วันนี้ ออกได้ไม่กี่ทางจะส่งศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ส่ง ถ้าเรามุ่งมั่นตั้งใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้กับประชาชน ลงมติไม่ส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ เดินหน้ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ต่อในทันก่อนปิดสมัยประชุม ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ยกร่างแก้ไขมาตรา 256 ทันที มีอะไรจะเสีย หากในอนาคตศาลรัฐธรรมนูญเกิดวินิจฉัยแล้วมีใครไปร้อง เราก็แค่รีเซ็ตกระบวนการทำประชามติใหม่ 

 

แต่หากเล็งเห็นต้นทุนของประเทศเป็นส่วนสำคัญ ไม่มีอะไรน่ากังวลเลย ไม่มีอะไรช้าไปกว่าเดิม ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีธงอยู่แล้วว่าต้องทำประชามติ 3 ครั้ง การเดินหน้าแก้ไขมาตรา 256 นี้ ไม่มีอะไรเสีย เว้นเสียแต่ต้นทุนที่ท่านจะยอมแลก โดยไม่มองเห็นต้นทุนประเทศที่จะเสีย แต่เล็งเห็นต้นทุนของตัวเองที่จะเสีย ข้อกังวลว่าจะมีคดีเข้าตัวเอง นี่คือการตัดสินใจที่ท่านไม่ได้เอาต้นทุนของประเทศเป็นตัวตั้ง แต่ท่านเอาต้นทุนของตัวเองเป็นตัวตั้ง 

 

ส่วนกรณีที่ ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ เห็นด้วยกับการทำประชามติเพียงแค่ 2 ครั้ง แต่ต้องการคลายข้อมูลของเพื่อสมาชิก โดยเสียเวลาเล็กน้อยลงมติเห็นด้วยกับญัตตินี้ เพื่อส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญก่อน 

 

ณัฐพงษ์กล่าวว่า อย่าลืมว่าวันนี้เป็นสัปดาห์ท้ายๆ ในสมัยประชุมนี้ ซึ่งปีที่แล้วศาลรัฐธรรมนูญใช้ระยะเวลาราว 1 เดือน ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้ไม่ทันในสมัยประชุมนี้ และต้องรออีก 4 เดือนในสมัยประชุมหน้า นั่นหมายความว่าหมดโอกาสในการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับให้ทันต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า 

 

“นี่คือต้นทุนของประเทศที่จะเสียไป และต้นทุนที่ท่านต้องพิจารณาลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ท่านจะพิจารณาบนต้นทุนของประชาชนของประเทศ หรือต้นทุนของตัวเองเป็นตัวตั้ง

 

“ท่านคิดจริงๆ ใช่ไหมว่าถ้าท่านปลดล็อกเงื่อนไขนี้ เขาจะไม่มีเงื่อนไขต่อๆ ไปมาอ้างขัดขวางกระบวนการการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีก สิ่งที่พวกผมอยากเรียกร้องคืออยากให้พวกท่านแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้นเอง”

 

ณัฐพงษ์กล่าวว่า ถ้าวันนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเหตุผลทางการเมือง รบกวนไปพูดคุยกันให้จบ แก้กันที่เหตุผลทางการเมือง นายกรัฐมนตรีต้องแสดงบทบาทผู้นำในการควบคุมเสียงรัฐบาลให้ได้ แล้วเราจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ 

 

ท้ายที่สุด ที่ประชุมร่วมของรัฐสภาได้มีมติเห็นชอบ 303 ต่อ 151 เสียง เห็นชอบส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising