วันนี้ (1 กันยายน) เวลา 17.25 น. ที่ทำการพรรคประชาชน พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.แบบบัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน เปิดเผยความคืบหน้าหลังการประชุมนัดพิเศษของ สส. พรรคประชาชนในวันนี้ เพื่อหารือกันในการสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย หรือจะไม่โหวตให้ใครเลย
พริษฐ์ระบุว่า ตอนนี้ถือว่าจบการประชุม สส. ในวันนี้แล้ว ซึ่งมี สส. มาร่วมประมาณ 90 กว่าคน หรือ 60% ของ สส. ทั้งหมด เพราะว่าหลายคนมีการติดภารกิจที่นัดไว้ล่วงหน้า ทั้งกรรมาธิการ และในพื้นที่ แต่คาดว่า ในวันช่วงนี้จะมี สส.เข้าร่วมประชุมมากกว่าเดิม
สำหรับความเห็นในที่ประชุม ยังมีหลากหลายมาก หลายคนแสดงความเห็นว่า มีความหนักใจ ไม่ว่าเลือกทางใดทางหนึ่ง เราจึงมีข้อสรุปในวันนี้ ว่าจะเป็นการประชุมต่อในวันพรุ่งนี้ เพื่อให้ สส. ที่มาวันนี้ได้ตกผลึก รวมถึงมีการแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม และ สส. ที่มาในวันนี้ไม่ได้ ได้มาหารือกันอย่างเต็มที่ในวันพรุ่งนี้ ทั้งนี้ จะนำความเห็นของ สส. มาประกอบความเห็นกับทุกภาคส่วน ทั้งทีมเครือข่าย และทีมงานพรรค
โดยประเด็นที่มีการพูดคุยกันอย่างชัดเจน คือประเด็นที่เรายืนยันในจุดเดิมว่า สิ่งที่ตอบโจทย์ประเทศ คือการเลือกตั้งใหม่โดยเร็ว เพราะเราเป็นฝ่ายที่เรียกร้องการยุบสภามาโดยตลอด หากสมมติว่า รักษาการนายกรัฐมนตรี ที่มีอำนาจดำเนินการยุบสภา ก็จะสอดคล้องกับจุดยืนของเรา เรายินดี และพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง
“ผมเข้าใจดีว่าหลายคนหนักใจทั้ง สส. และประชาชน หากถึงวันนั้น ที่ต้องเลือกคนเข้าไปยุบสภา ซึ่งบางคนก็ตั้งคำถามว่า จำเป็นหรือไม่ หรือเราไม่ต้องทำอะไรเลย แต่เราพยายามคิดในจุดหนึ่งว่า หากไม่มีการยุบสภาเกิดขึ้นจริงๆ แล้วมีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ณ เวลานี้ เพราะไม่มีกลุ่มใดได้เสียงเกิน กึ่งหนึ่ง ดังนั้น ก็ต้องคิดต่อว่า หากเราอยู่เฉยๆ แล้วงดออกเสียง จะเกิดอะไรขึ้น”
▪️กังวลแดงจับมือน้ำเงินผูกขาด-นายกฯ นอกระบบ
พริษฐ์กล่าวต่อไปว่า เราจึงมองไปถึงความน่ากังวล 2 ประการ คือ
- ปัจจุบันที่ทั้งแดง และน้ำเงิน ไม่สามารถร่วมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่ง เขาจะไหลกลับไปรวมกัน ส่วนเหตุผลที่กังวลในตรงนี้ คือหากเขาไปรวมกัน ก็จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก และมีแนวโน้มที่จะอยู่ครบวาระในอีกเกือบ 2 ปี ซึ่งขัดกับจุดยืนของเรา ที่ต้องการเลือกตั้งโดยเร็ว และหากถามว่า 2 ปีข้างหน้า อะไรคือสิ่งที่น่ากังวลนั้น คงไม่ต้องมองไปที่แห่งใด แต่ย้อนกลับไป 2 ปีที่ผ่านมา เพราะไม่มีนโยบายที่แก้ปัญหาประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในมุมหนึ่งเราก็เห็นว่า ช่วงที่แดงและน้ำเงินเป็นรัฐบาล มีคดีหลายอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับสองพรรคนั้น ที่ไม่ได้ถูกตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา แต่ถูกนำมาเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง ซึ่งทำให้ประเทศเสียหาย ทั้งการเลือกตั้งใหม่ที่ช้าออกไปอีก 2 ปี
- ความเป็นไปได้ที่สองพรรคนั้น หากเขาไม่กลับไปรวมกัน ก็มีความเสี่ยงว่าจะไหลออกไปถึงนายกรัฐมนตรีที่อยู่นอกระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อประเทศแน่นอน
“เราจึงมีความหนักใจ เราเข้าใจดีความรู้สึกหลายคนว่า หากเราอยู่เฉยๆ จะได้หรือไม่ แต่เรายืนยันว่า ถ้าเราไม่ทำอะไร ก็มีความเสี่ยงที่สองเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น และไม่ส่งผลดีต่อประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถสรุปแบบได้ว่า วันพรุ่งนี้จะได้คำตอบที่ชัดเจนหรือไม่ และยังมีไม่ตกผลึกในการเลือกระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย หรือไม่เลือกใครเลย”
▪️กรรมการบริหารพรรครับผิดชอบการตัดสินใจหลังฟังทุกภาคส่วน
พริษฐ์ยืนยันด้วยว่า สส. ของพรรคเรา ไม่มีการออกจากกลุ่มไลน์ เราเดินหน้าอย่างเป็นเอกภาพ ขณะนี้ไม่มีการพูดคุยเพิ่มเติมกับทั้งพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย เพราะเราถือว่าทั้ง 2 พรรค ได้ตอบรับเงื่อนไขทั้ง 3 ข้อของเรา ตอนนี้เป็นการคุยกันภายใน
ส่วนเหตุผลที่ต้องวางไว้ 4 เดือน เนื่องจากต้องรอคำวินิจฉัยของรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 10 กันยายน เรื่องจำนวนครั้งในการทำประชามติ แต่หากพูดถึงพรรคเพื่อไทยโดยตรง ความจริงก็คงไม่ต้อง 4 เดือนอยู่แล้ว เพราะรักษาการนายกรัฐมนตรีสามารถทำได้เลย
สำหรับกรณี MOU 43 และ MOU 44 ที่พรรคเพื่อไทยเสนอ จะเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจของพรรคประชาชนหรือไม่ พริษฐ์ย้ำว่า เราไม่ได้พิจารณาอะไร ที่นอกเหนือจาก 3 เงื่อนไข ส่วนสุดท้ายที่ประชุม สส. พรรคประชาชนจะต้องให้โหวตกันหรือไม่นั้น ความเห็นเราไม่ได้จำกัดแค่ สส. ดังนั้น จึงไม่ได้เป็นลักษณะที่โหวตในที่ประชุม สส. เพราะเราต้องรับฟังความเห็นของทุกภาคส่วน แล้วค่อยนำมาตกผลึก ก่อนตัดสินใจ
ส่วนคนที่จะเป็นคนตัดสินใจนั้น พริษฐ์กล่าวว่า เป็นกระบวนการภายในของพรรค แต่ท้ายที่สุดกรรมการบริหารพรรคต้องรับผิดชอบกับการตัดสินใจที่เกิดขึ้น เพราะมาจากความคิดเห็นของทุกภาคส่วน สำหรับทิศทางโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ยืนยันว่า จะโหวตไปในทิศทางเดียวกันทั้งพรรค
▪️เชื่อในกลไกควบคุมรัฐบาลเสียงข้างน้อย
สื่อมวลชนถามย้ำว่า พรรคเพื่อไทยต้องยุบสภาเท่านั้นใช่หรือไม่ พริษฐ์กล่าวว่า ข้อเสนอนี้ ไม่ได้เป็นข้อเสนอที่ใหม่ ไม่ได้พูดแค่ 2 วันที่ผ่านมา แต่เราพูดมา 3 เดือนแล้ว หากจำกันได้ และมีการตั้งข้อสังเกตว่า การเรียกร้องของเรา เป็นเพราะคะแนนนิยมเราดีใช่หรือไม่ แต่เรายืนยันว่า ไม่ใช่ เรามองถึงสถานการณ์ข้างหน้า เพื่อให้ท้ายที่สุดแล้ว มีรัฐบาลที่แก้ปัญหาประชาชนได้
สื่อมวลชนซักต่อว่ายุบสภาภายใน 2 เดือน หรือ 4 เดือน มีแนวโน้มไปทางใดมากกว่ากัน พริษฐ์ระบุว่า การที่เราวางไว้ 4 เดือน ไม่ได้หมายความว่า จะต้อง 4 เดือน แต่เพราะเชื่อมกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งผูกพันกันกับการเริ่มต้นการทำประชามติครั้งแรก
ส่วนประเมินความจริงใจ ของพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย อย่างไร พริษฐ์มองว่า ความจริงใจเป็นสิ่งที่ทั้ง สส. ของเรา และประชาชนหลายคนใช้ในการประเมินอยู่แล้ว ขอตอบกว้างกว่านั้นว่า แน่นอนหลายคนมองว่า เราจะทำให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยเข้าไปรักษาสัญญาได้อย่างไร ซึ่งก็มีอีก 2 ปัจจัยสำคัญ คือ เราออกแบบกลไกที่จะทำให้มีกลไกควบคุม ชัดเจนที่สุด คือทำให้ใครที่เข้าไปเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ดังนั้น เราสามารถใช้การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ล้มรัฐบาลที่เบี้ยว หรือใช้อำนาจโดยมิชอบได้
“พูดตรงๆ ไม่ไว้ใจทั้งคู่ แต่ก็ต้องมาประเมินความเสี่ยงกัน ว่าจากสาระและท่าทีที่เราเห็น ชั่งวัดกันด้วยหลักฐานว่า อันไหนมีความเสี่ยงน้อยกว่า ยืนยันว่า ตัดสินใจด้วยเหตุและผล ไม่เอาอารมณ์มาตัดสิน เพราะถ้าเราทำเช่นนั้น บางคนก็มีความรู้สึกว่า พรรคเพื่อไทย ก็ฉีก MOU ร่วมรัฐบาล ส่วนพรรคภูมิใจไทย ก็อภิปรายตอนโหวตคุณพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี” พริษฐ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับความขัดแย้งในอดีตนั้น พริษฐ์กล่าวว่า เราไม่ลืมอยู่แล้ว แต่เราไม่เอาอารมณ์มาเป็นตัวตัดสิน แม้ไม่ไว้วางใจ ก็ต้องคุยกันได้ข้อสรุปในวันพรุ่งนี้
“ผมขอสื่อสารกับประชาชนว่า ผมและ สส.พรรคประชาชน เราตระหนักดีว่า เรามาอยู่จุดนี้ได้เพราะใคร เราทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรได้เพราะพี่น้อง 14 ล้านคน ที่เลือกเราเข้ามา ขอให้คำมั่นสัญญาว่า เราจะไม่เอาความไว้วางใจนั้น ไปทำอะไรที่ขัดหลักการ ผิดคำพูด หรือไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ“ พริษฐ์กล่าวทิ้งท้าย