วานนี้ (5 กรกฎาคม) พริษฐ์ วัชรสินธุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล สัมภาษณ์ในรายการ THE STANDARD NOW ดำเนินรายการโดย อ๊อฟ-ชัยนนท์ หาญคีรีรัตน์ ถึงภาพรวม MOU ฉบับเพิ่มเติม ความมั่นใจต่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในการเป็นนายกรัฐมนตรี และ 3 ความเปลี่ยนแปลงที่พรรคก้าวไกลจะทำหลังจัดตั้งรัฐบาล
พริษฐ์กล่าวว่า ภาพรวมของประเด็นที่ถูกเพิ่มไปที่เรียกว่าข้อบันทึกร่วม (MOU) ฉบับเพิ่มเติม หรือ MOU ฉบับที่ 2 จะมีกฎหมายบางฉบับที่ถูกเพิ่มเติม ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันของพรรคก้าวไกลและเพื่อไทย
โดยก่อนการเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลได้เตรียมร่างกฎหมาย 40 ฉบับที่ต้องการจะยื่นเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภา ซึ่งมีที่ประสบผลสำเร็จหลายฉบับในการบรรจุตั้งแต่ MOU ฉบับแรก เช่น กฎหมายยกเลิกเกณฑ์ทหาร สุราก้าวหน้า เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ได้มีการบรรจุกฎหมายบางฉบับเพิ่มเข้าไป คือ กฎหมายนิรโทษกรรมคดีแสดงออกทางการเมือง และการแก้ไขกฎหมายปฏิรูปกองทัพ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม, ร่าง พ.ร.บ.กฎอัยการศึก ซึ่งควบคู่กับพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ฉุกเฉิน และร่าง พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยการยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)
ส่วนคำพูดของ ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล เกี่ยวกับกฎหมายนิรโทษกรรมที่กล่าววานนี้ (5 กรกฎาคม) ว่า “ไม่มีการยกเว้นมาตรา 112 ไว้ ” พริษฐ์ระบุว่า จะมีการพิจารณาเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมคดีการแสดงออกทางการเมืองในมาตรฐานเดียวกัน เช่น มาตรา 112, 116 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ดังนั้น ตนเองเชื่อว่าไม่มีข้อมูลใดๆ ที่จะมีการยกเว้นมาตรา 112 ไม่ให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรม ส่วนเหตุผลที่พรรคก้าวไกลเสนอเรื่องนิรโทษกรรมเข้ามา คือเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา และคืนความเป็นธรรมแก่ประชาชน
ขณะที่ประเด็นการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี พริษฐ์เผยว่า มั่นใจว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล จะเป็นนายกรัฐมนตรีจากการสนับสนุนของ 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาล ที่มีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ
“ผมเข้าใจว่าปัจจุบันเรา (ประเทศไทย) ไม่ได้อยู่ภายใต้กติกาที่เป็นประชาธิปไตยในสากลสักเท่าไร ถ้าเราอยู่ภายใต้กติกาที่เป็นประชาธิปไตยสากล เราไม่ต้องมาพูดคุยกันเรื่องนี้เลย เพราะมันชัดเจนมากว่ามี 8 พรรคการเมืองที่มีการลงนาม MOU ร่วมกัน มีเสียงในสภา 310 กว่าเสียง มันชัดเจนแล้วว่าสามารถมีรัฐบาลที่มีทั้งเสถียรภาพ และเอกภาพได้” พริษฐ์ขยายความ
นอกจากนี้ พริษฐ์ระบุว่า มี 2 ประเด็นที่ต้องขยายความเพิ่มเติมถึงการโหวตเลือกนายกฯ ดังนี้
- พรรคก้าวไกล เชื่อมั่นว่าการโหวตนายกฯ ครั้งแรกจะมีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เยอะเพียงพอที่เคารพเสียงประชาชน แม้จะมีการวางแผนถึงผลลัพธ์ที่ไม่เป็นตามที่คาดหวังในรอบแรกก็ตาม ซึ่งเชื่อว่ามีหนทางแก้ปัญหาแน่นอน
- 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาลอยู่บนพื้นฐานของ MOU ในข้อที่ 1 คือ ‘ทุกพรรคเห็นชอบที่จะสนับสนุนหัวหน้าพรรคก้าวไกล คือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ตามเสียงข้างมากจากผลการเลือกตั้ง’ ฉะนั้นการพูดคุยทั้งหมดยึดถือตามหลักการตรงนี้
ทั้งนี้ พริษฐ์ได้พูดถึง 3 ความเปลี่ยนแปลงที่พรรคก้าวไกลจะทำทันที ได้แก่ กฎหมายก้าวหน้า ความคิดทางสังคม และวัฒนธรรมทางการเมืองที่มีรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับงานสภา
ส่วนเป้าหมายที่ตนเองจะทำทันทีในฐานะ ส.ส. คือจะดำเนินการยื่นร่างกฎหมาย 40 ฉบับซึ่งเป็นเพียงเซ็ตแรกเท่านั้น จะต้องมีกฎหมายอื่นๆ ที่นอกเหนือจากนี้ด้วยเช่นกัน และจะยกระดับการทำงานฝ่ายนิติบัญญัติให้ดีขึ้น