จะเรียกว่าเป็นความบังเอิญก็คงไม่ผิดข้อเท็จจริงนัก ที่หนังสัญชาติเกาหลีใต้ซึ่งเป็นขวัญใจของผู้ชมในเทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อปีกลายเรื่อง Burning ของ อีชางดง (และว่ากันว่าเกือบชนะรางวัลปาล์มทองคำ) กับหนังที่ถือพาสปอร์ตประเทศเดียวกันซึ่งเพิ่งชนะรางวัลปาล์มทองคำปีล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นั่นคือ Parasite ของ บงจุนโฮ (Memories of Murder, The Host และ Okja) พูดประเด็นเดียวกัน อันได้แก่ความเหลื่อมล้ำทางฐานะและชนชั้นของคนมั่งมีและคนยากจน
หรือจริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ความเหลื่อมล้ำ เพราะจากหนังที่ทั้งสองเรื่องนำเสนอ คนทั้งสองวรรณะตามท้องเรื่องเหมือนกับดำรงอยู่ในจักรวาลคู่ขนาน และสมมติว่าไม่มีเหตุปัจจัยที่มากระตุ้นเร้าให้ต้องพบเจอ โอกาสที่วงโคจรของพวกเขาจะมาทับซ้อนก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
ความพ้องพานระหว่างหนังเรื่อง Burning กับ Parasite ยังครอบคลุมไปถึงวิธีการที่คนทำหนังทั้งสองนำเสนอภาพของคนร่ำรวย ซึ่งถูกจัดวางไว้ในระยะที่ห่างเหินจากการเข้าถึงของคนดู และพินิจพิเคราะห์อย่างกว้างๆ แล้วดูเหมือนว่าชีวิตของพวกเขาว่างเปล่าและกลวงโบ๋เหมือนกัน ผู้ชมได้เห็นหนุ่มไฮโซในหนังเรื่อง Burning ซึ่งเราไม่เคยได้รับรู้ว่าเขาทำงานอะไร แต่กลับร่ำรวยอย่างน่าขุ่นเคือง แอบหาวด้วยท่าทีเบื่อหน่ายในระหว่างงานสังสรรค์กับเพื่อนฝูงถึงสองครั้งสองครา ในตอนที่หนังพาพวกเราไปพบกับ คุณนายพัค (โจยอจอง) เจ้าของคฤหาสน์เลิศหรูใน Parasite เป็นครั้งแรก เธอนั่งหลับอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน และเสียงปลุกของแม่บ้านก็ไม่ได้รบกวนการดำดิ่งอยู่ในห้วงแห่งภวังค์ของเธอแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นคนดูยังได้รับการบอกกล่าวด้วยว่าคุณนายพัคเป็นคน ‘Simple’ ซึ่งไม่ได้หมายถึงคนเรียบง่าย เท่ากับคนที่ตื้นเขินและเกือบๆ จะเซ่อซ่า ซึ่งในอีกไม่นานนักเราก็จะได้เห็นแง่มุมเหล่านั้นอย่างจะแจ้ง
อีกอย่างหนึ่งที่น่าจะระบุควบคู่ไปด้วยก็คือสถานที่พำนักอาศัยของครอบครัวพัคไม่เพียงแค่สะอาดสะอ้าน แต่ยังเต็มไปด้วยพื้นที่โล่งกว้าง ซึ่งแน่นอนว่ามันตรงกันข้ามราวฟ้ากับเหวกับบ้านที่เปรียบได้กับรังหนูของตัวละครอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นคนยากจน ไม่ว่ามันจะใช้การอุปมาอุปไมยถึงสภาวะชีวิตอันว่างเปล่าและกลวงโบ๋ของคนร่ำคนรวยหรือไม่อย่างไร ช่วงหนึ่งของหนัง พื้นที่ที่ถูกออกแบบอย่างมีสไตล์และเปี่ยมด้วยรสนิยมกลับกลายเป็นลานให้เล่นซ่อนแอบของชนชั้นล่างภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งน่าขบขันและสุดแสนทุลักทุเล
แต่ก็นั่นแหละ ระหว่าง Burning กับ Parasite ก็ตัดขาดกันในแง่ของสไตล์ หนังของอีชางดงเลือกก้าวเดินในแบบฉบับของหนังที่แสดงออกอย่างสำรวม คนดูอาจจะต้องปีนบันได หลายสิ่งหลายอย่างเข้าถึงไม่ได้ง่ายดาย กระนั้นก็ตาม ความยอกย้อนซ่อนเงื่อนก็ท้าทายทั้งจินตนาการและความนึกคิดของผู้ชม กระทั่งติดแน่นทนนาน ขณะที่ Parasite ของบงจุนโฮเป็นหนังที่ไม่เหนียมอายที่จะทำตัวเองเป็นเสมือนรถไฟเหาะตีลังกา หรืออีกนัยหนึ่ง หนังมีจังหวะขึ้นลงของทั้งเนื้อหาและกลวิธีการนำเสนออย่างค่อนข้างโลดโผนโจนทะยาน หลายครั้งก็เรียกเสียงหัวเราะครึกโครมด้วยมุกตลกแสนร้ายกาจ ด้วยจังหวะการตัดต่อแบบทันอกทันใจพระเดชพระคุณ ด้วยเสียงดนตรีประกอบที่นอกจากห่อหุ้มเรื่องเล่าที่ดำเนินไปข้างหน้าอย่างโลดแล่น ยังหยิบยื่นความรู้สึกที่สุดแสนรื่นรมย์ หรือบางช่วงหนังก็เปลี่ยนไปเป็นโหมดตื่นเต้นเขย่าขวัญ ตลบอบอวลด้วยบรรยากาศลุ้นระทึก
และในระหว่างที่ผู้ชมเพลิดเพลินและสนุกสนานไปกับเนื้อหาที่ดูเหมือนย่อยง่ายนั้นเองที่อะไรๆ กลับไม่ได้หันเหไปในทิศทางที่ผู้ชมคาดเดา และจู่ๆ ความดาร์ก ความลึกล้ำ ความน่าพิศวงงงงวย ความเคร่งขรึมจริงจังก็เคลื่อนคล้อยเข้าปกคลุม จริงๆ แล้วใครที่ได้ดูหนังของบงจุนโฮอย่างต่อเนื่องก็คงพอนึกออกว่าหนังของเขาแทบทุกเรื่องมักจะเริ่มต้นในแบบที่ไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อนทำนองนี้ และอาจเรียกได้ว่าเขาเป็นคนทำหนังที่สับขาหลอกเก่งกาจที่สุดคนหนึ่ง แต่ความสามารถในการพลิกความคาดหวังของผู้ชมอย่างชนิดหน้ามือเป็นหลังมือก็เรื่องหนึ่ง วิธีการที่เขาสอดแทรกความหมาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การวิพากษ์วิจารณ์สังคมก็เป็นอีกเรื่องด้วยประการทั้งปวง ซึ่งมันช่างแยบยลและแนบเนียน ส่วนที่น่าทึ่งโดยเฉพาะในกรณีของ Parasite ก็คือแม้ว่าหนังจะพูดถึงประเด็นความไม่ยุติธรรมในทางชนชั้น จุดประสงค์กลับไม่ได้เป็นเรื่องของการโหมกระพือความรู้สึกเดือดดาลคับแค้น หรือว่ากันตามจริงแล้วคือไม่มีใครในหนังเป็นผู้ร้ายจริงๆ จังๆ หรืออย่างน้อยผู้ร้ายตัวจริงในหนังก็ไม่ได้มีรูปโฉมโนมพรรณตายตัว
แม้ว่าหนังจะพูดถึงประเด็นความไม่ยุติธรรมในทางชนชั้น จุดประสงค์กลับไม่ได้เป็นเรื่องของการโหมกระพือความรู้สึกเดือดดาลคับแค้น หรือว่ากันตามจริงแล้ว ไม่มีใครในหนังเป็นผู้ร้ายจริงๆ จังๆ
ไม่ว่าจะอย่างไร ความท้าทายอย่างยิ่งยวดในการสาธยายถึงหนังเรื่อง Parasite ไม่ใช่การเสาะแสวงหาความหมาย ซึ่งว่าไปแล้วไม่น่าจะอยู่เหนือความสามารถของผู้ชม แต่ได้แก่การบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหนัง ซึ่งก็ดังที่เอ่ยก่อนหน้านี้ มันประกอบไปด้วยการล่อหลอก พลิกผัน และหักมุม ซึ่งแน่นอนว่าควรปล่อยให้ผู้ชมได้ประสบพบเจอด้วยตัวเอง กระนั้นก็ตาม ตราบเท่าที่เค้าโครงคร่าวๆ ของหนังอนุโลมให้พูดถึงได้ หนังสถาปนาเงื่อนไขและองค์ประกอบพื้นฐานได้น่าติดตาม
อาจกล่าวได้ว่าเงื่อนไขของการเป็นหนังตลกเสียดสีเย้ยหยันและไม่ต้องยึดถือความเป็นจริงอย่างถมึงทึงทำให้ความเถรตรงบางอย่างเป็นเรื่องที่ปล่อยให้เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกำหนดให้ผู้ชมได้รับรู้ตั้งแต่ช็อตเปิดเรื่องผ่านการเคลื่อนกล้องจากบนลงล่างว่า ครอบครัวคิม ซึ่งประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูกสาว และลูกชาย ไม่ได้เป็นเพียงแค่พวกหาเช้ากินค่ำและทำงานสารพัดสารเพ ทว่าห้องหับอันแสนโกโรโกโสของพวกเขาก็ยังโผล่พ้นพื้นถนนมาแค่ครึ่งเดียว และตอกย้ำความเป็นคน ‘ระดับล่าง’ อย่างแท้จริง นั่นเป็นวิธีการที่ตรงข้ามกับตอนที่หนังพาผู้ชมไปรู้จักกับบ้านอันวิลิศมาหราของครอบครัวพัค (ซึ่งประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูกสาว และลูกชายเหมือนกัน) ที่นอกจากตั้งอยู่บนเนินสูงแล้วยังแวดล้อมด้วยบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว และหนังใช้การเคลื่อนกล้องจากล่างขึ้นบนเพื่อบรรยายถึงความเป็นอภิสิทธิ์ชนของตัวละคร
ส่วนที่เย้ยหยันสุดๆ ก็คือขณะที่ภาพวิวทัศน์จากห้องนั่งเล่นของครอบครัวพัคคือสนามหญ้าเขียวชอุ่ม ให้ความรู้สึกสบายอารมณ์ ภาพวิวทิวทัศน์ของครอบครัวคิม ได้แก่ ขี้เมายืนฉี่ในพิกัดเจ้าประจำของตัวเอง
จุดปะทุของเรื่องก็อย่างที่เทรลเลอร์ของหนังบอกไว้นั่นเอง โอกาสเปิดกว้างให้ คิมคีวู (ชเวอูชิก) ลูกชายของครอบครัวคิม ได้แทรกซึมเข้าไปเป็นติวเตอร์ภาษาอังกฤษให้กับลูกสาววัยขบเผาะของครอบครัวพัค และทีละน้อย หนุ่มน้อยก็หาช่องทางให้ครอบครัวของเขาได้รุกคืบเข้าไปเป็นคนงานภายในบ้าน ซึ่งหมายรวมถึงการกำจัดคนที่อยู่ก่อนหน้าออกไป ดูเหมือนว่าความเจ้าเล่ห์แสนกลของการตั้งชื่อหนังว่า Parasite อยู่ตรงนี้เอง (ยิ่งชื่อภาษาไทยของหนัง ชนชั้นปรสิต ด้วยแล้ว ผู้ชมแทบไม่ต้องแปลความหมายอีกต่อไป) เพราะรูปการณ์ที่ครอบครัวคิมพาตัวเองเข้าไป ‘สิงสู่’ อยู่ในบ้านของครอบครัวพัคก็ไม่แตกต่างจากเชื้อปรสิตที่เสาะแสวงหา ‘เรือนร่าง’ ที่พวกมันจะได้อาศัยเป็นแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์ หรือจริงๆ แล้วฉากที่พวกเขาแอบดูดสัญญาณไวไฟเพื่อนบ้านในช่วงต้นเรื่องก็สะท้อนพฤติการณ์เดียวกัน
แต่อย่างหนึ่งที่แน่ๆ ก็คือทั้งหมดไม่ได้เป็นพวกสิบแปดมงกุฎหรือนักต้มตุ๋นโดยสันดาน และถึงแม้ว่าทักษะในการปลอมแปลงเอกสารของลูกสาว (ให้กับน้องชาย) เพื่อตบตาคุณนายพัคจะได้รับคำชมจากผู้เป็นพ่อ (ซงคังโฮ) ว่าเธอสมควรได้คะแนนท็อปของห้องหากมหาวิทยาลัยเปิดสอนวิชานี้ ทว่าจริงๆแล้วทั้งหลายทั้งปวงของการฉ้อฉลหลอกลวงก็เพื่อให้พวกเขาได้ ‘ไปต่อ’ ภายใต้ระบบที่สกัดกั้นคนที่เสียเปรียบและขาดแคลนโอกาสให้กระเด็นออกนอกเส้นทาง
นอกเหนือจากแท็กติกและกลวิธีอันหวือหวาและพรั่งพรู อีกส่วนหนึ่งที่เป็นเสมือนกระดูกสันหลังอันแข็งแกร่งของหนัง ได้แก่ งานสร้างที่ประณีตพิถิพิถัน และช่วยทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูขึงขังจริงจังอย่างที่ผู้ชมน่าจะบอกได้ ฉากหรือเซตติ้งเล่นบทบาทสำคัญอย่างมหาศาล (นิวาสสถานอันหรูหรา-อพาร์ตเมนต์ซอมซ่อ) เพราะมันถูกใช้เพื่อให้ผู้ชมประเมินได้ว่าดีกรีของความเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่างคนรวยกับคนจนมีขนาดมหึมาเพียงใด และกล่าวได้ว่าเป็นเพราะความสมจริงสมจังของผลงานในส่วนนี้นี่เองที่ทำให้หนังของบงจุนโฮสามารถสื่อสารในสิ่งที่หนังส่วนใหญ่ทำไม่ค่อยได้ นั่นก็คือกลิ่นสาบสางของคนจน ซึ่งจากที่หนังนำเสนอ นี่เป็นเรื่องรบกวนและน่ารำคาญสำหรับพวกไฮโซ ทว่าสำหรับคนที่ชีวิตไม่มีทางเลือกมากนักอย่างครอบครัวคิมมันหยุมหยิมปลีกย่อย จนกระทั่งถึงช่วงเวลาหนึ่งที่มันไม่ใช่อะไรที่มองข้ามได้อีกต่อไป
ไม่มีข้อสงสัยว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Parasite กลายเป็นหนังที่คนดูถูกอกถูกใจก็เนื่องเพราะมันเล่าเรื่องได้อย่างเอร็ดอร่อย สนุกสนาน สอดแทรกอารมณ์ขันในแบบที่คาดไม่ถึง ตัวละครเต็มเปี่ยมไปด้วยสีสันและความมีชีวิตชีวา นักแสดงถ่ายทอดบทบาทกันอย่างถึงพริกถึงขิง อีกทั้งตัวหนังก็ไม่ได้บ่ายเบี่ยงหรือหลบเลี่ยงการพูดถึงเรื่องคอขาดบาดตาย และในขณะที่ตำบลกระสุนตกของหนังเรื่อง Parasite พุ่งเป้าไปที่ความเหลื่อมล้ำในสังคมของประเทศเกาหลีใต้ แต่หนังของบงจุนโฮก็ทำหน้าที่เป็นงานศิลปะที่ดี อันได้แก่ การทำให้ผู้ชมได้มองเห็นความจริงอันเป็นสากล
โดยปริยาย นั่นกลายเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง หากหนังของเขาจะสะกิดให้คนดูในบ้านเราหวนนึกถึงสังคมไทยที่อยู่ในภาวะเจ็บไข้ได้ป่วยทางชนชั้นอย่างชนิดอักเสบและกลัดหนองมาแสนนาน
ตัวอย่างภาพยนตร์
Parasite (2019)
กำกับ: บงจุนโฮ
นักแสดง: ซงคังโฮ, ชเวอูชิก, อีซอนกยุน, โจยอจอง ฯลฯ
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล