วันนี้ (6 ธันวาคม) ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายฯ พรรคเพื่อไทย และทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยว่า ภาคท่องเที่ยวเป็นภาคการผลิตที่ใหญ่และสำคัญมากของไทย ครอบคลุมห่วงโซ่อุปทานไปหลายภาคส่วน การจ้างงานจำนวนมหาศาลในวงกว้าง และเป็นอนาคตของไทย แต่ภาคท่องเที่ยวมีลักษณะจำเพาะ เพราะลักษณะธุรกิจมีความไม่เป็นทางการสูง เป็นรายย่อยสูง และมีความไม่แน่นอนสูง เช่น ร้านนวดสปาริมถนน โต๊ะทัวร์ เรือท้องแบนดูปะการัง เป็นต้น ซึ่งทำให้เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบธนาคารปกติ รวมถึงพวก Soft Loan จึงล้มตายกันมากในช่วงโควิด-19 และกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยหรือกองทุนอื่นๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่ใช่ทางออกที่ดี
“ผมเห็นความจำเป็นที่เราจะต้องคิดใหญ่กว่านั้นที่จะต้องมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจขึ้นมาดูแลภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ หรือ ‘ธนาคารเพื่อการท่องเที่ยว’ ทั้งในแง่สินเชื่อในวิกฤตนี้และวิกฤตอื่นๆ ในอนาคต เพราะความเข้าใจในสินเชื่อลักษณะจำเพาะของภาคการท่องเที่ยวเป็นเรื่องสำคัญ” เผ่าภูมิกล่าว
เผ่าภูมิกล่าวอีกว่า มากกว่านั้นธนาคารเพื่อการท่องเที่ยวยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลจะส่งผ่านมาตรการภาครัฐผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจไปสู่ภาคท่องเที่ยว อย่างที่เรามีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรไว้รองรับมาตรการการเกษตรใหญ่ๆ ช่วยเกษตรกรตลอดมา มีธนาคารอาคารสงเคราะห์ไว้รองรับมาตรการด้านอสังหาริมทรัพย์ และในอดีตสมัยพรรคไทยรักไทยได้ก่อตั้งธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME bank ขึ้น ซึ่งตรงนั้นเป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จของ SMEs ไทยในวันนี้
เผ่าภูมิกล่าวด้วยว่า ธนาคารเพื่อการท่องเที่ยวจะยังเป็นเครื่องมือในการกำหนดทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยวไทยที่ปัจจุบันยังไร้ทิศทาง ยกตัวอย่าง หากเราต้องการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เราสามารถใช้ ‘ทิศทางการให้สินเชื่อ’ และมาตรการภาครัฐ เพื่อชี้นำการพัฒนาท่องเที่ยวในลักษณะท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้ในพื้นที่ที่ต้องการในแบบที่ต้องการผลักดันได้
“โดยสรุป ผมมองธนาคารเพื่อการท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือด้านสินเชื่อรองรับวิกฤตในระยะสั้น และมองเป็นเครื่องมือในการกำหนดทิศทางการพัฒนาภาคท่องเที่ยวทั้งระบบในระยะยาว” เผ่าภูมิกล่าวในที่สุด
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
