วันนี้ (12 เมษายน) พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ นอท หัวหน้าพรรคเปลี่ยน พร้อมด้วยทีมงานลงพื้นที่ตลาดเช้าเมืองพะเยา พบปะพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อสินค้า โดยในระหว่างการเดินหาเสียงก็มีประชาชนสอบถามความคืบหน้าคดีกองสลากพลัส พร้อมอวยพรขอให้โชคดี โดยพันธ์ธวัชตอบว่า คดีความจะสั่งฟ้องในวันที่ 20 และสิ้นเดือนเมษายนนี้ แต่เนื้อคดีไม่มีอะไร มีการแจ้งข้อหาว่าการขายลอตเตอรี่เป็นการพนัน
พันธ์ธวัชกล่าวอีกว่า ยังประเมินคะแนนการขึ้นเวทีดีเบตที่ถ่ายทอดสดครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 เมษายน ว่าให้คะแนนการดีเบต 70% ยังทำได้ไม่เต็มที่ รอบแรกอาจจะดูตื่นเต้นไปบ้างเพราะพูดหลัง 5 พรรคการเมืองใหญ่ แต่รอบหลังๆ เริ่มคุมสติได้และเล่นตามเกมของตัวเองก็ดีขึ้น โดยยังมีอีกหลายนโยบายที่ตนยังไม่ได้พูด เชื่อว่าครั้งหน้าตนจะอธิบายนโยบายของพรรคได้ดีขึ้นกว่านี้ พร้อมขอบคุณการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี ทั้งผลโหวตและชื่นชอบนโยบายของพรรคเปลี่ยน และบอกถึงความประทับใจในระหว่างการดีเบต ประชาชนนำพวงมาลัยปลาส้มมามอบให้ถือเป็นสีสันการเมือง
ทั้งนี้ได้พูดคุยและตอบคำถามประชาชนที่ดูไลฟ์ ว่าหากได้เข้าไปในสภาอยากจะไฝว้กับใครหรือนักการเมืองคนไหน ซึ่งพันธ์ธวัชตอบว่าอยากดีเบตกับ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะที่ตนเองเป็นคนดิจิทัล ทำมาหากินกับโลกออนไลน์ และอยากจะถามถึงความรับผิดชอบและความเข้าใจปัญหาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส ว่าทำไม 8 ปีที่ผ่านมาจึงไม่พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม พร้อมกล่าวว่าชัยวุฒิเพิ่งจะปิดโอกาสคนไทยให้มีความสุขด้วยการปิดกองสลากพลัสที่มียอดขาย 1.9 หมื่นล้านบาท คนตกงาน 400 คน
พันธ์ธวัชยังได้กล่าวถึงนโยบายหวยบำนาญของพรรคไทยสร้างไทย ว่าส่วนตัวไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร เนื่องจากคิดว่าเกิดความไม่เท่าเทียมและอาจจะเป็นการส่งเสริมให้คนซื้อหวยหรือเข้าไปสู่การพนันเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ เพราะอยากได้รับสิทธิ ซึ่งแนวคิดเป็นการออมเงินในกรณีที่ไม่ถูกรางวัล ซึ่งแตกต่างจากนโยบายหวยโอกาสของพรรคเปลี่ยน เมื่อมีรายได้จากหวยแล้วก็นำไปพัฒนาประเทศ นำไปช่วยเหลือกลุ่มคนหาเช้ากินค่ำได้ทันที
พันธ์ธวัชยังกล่าวถึงปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ว่าควรที่จะผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติที่ต้องแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เพราะส่งผลกระทบกับสุขภาพของประชาชน หากประชาชนเจ็บป่วยก็จะเป็นภาระกับรัฐบาลในเรื่องค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพของประชาชน โดยพรรคเปลี่ยนจะบรรจุเรื่องการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นนโยบายของพรรคเพื่อที่จะผลักดันการแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้กำลังพิจารณานโยบายช่วยผู้ประกอบการ SMEs ที่ประสบปัญหาการเสียภาษี โดยกลุ่ม SMEs ที่มีรายได้ 30 ล้านบาท จะเสียภาษีเต็มอัตรา 30% ซึ่งมองว่าหากอยากจะช่วย SMEs ให้สามารถมีศักยภาพในการแข่งขันควรเก็บภาษี ผู้ประกอบการธุรกิจที่รายได้ 100 ล้านบาทขึ้นไป รวมถึงปัญหาแหล่งเงินทุนที่ต้องแก้ที่หลักเกณฑ์เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้
พันธ์ธวัชยังกล่าวถึงการซื้อเสียงขายเสียงในช่วงเลือกตั้งว่า ขณะนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่รับทุกพรรค ส่วนจะเลือกหมายเลขอะไรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน ทำให้พรรคการเมืองซื้อเสียงไม่ได้ ซึ่งจะทำให้การลงทุนด้านการเมืองลดน้อยลงเรื่อยๆ ถ้าลงทุนแล้วไม่ได้ผลก็จะตัดออกไปทีละคนสองคน สุดท้ายก็จะเหลือแต่พรรคการเมืองที่ทุนหนา ซึ่งก็จะทำให้ปัญหาวนกลับไปสู่จุดเดิม ซึ่งพรรคเปลี่ยนหลังจากที่ขออนุญาตจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แล้วก็จะเปิดรับบริจาคโดยให้ประชาชนทุกคนร่วมเป็นนายทุนของพรรค