ผู้นำและผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มปาเลสไตน์มีกำหนดเข้าร่วมประชุมที่เมืองรามัลลาห์ ในเขตเวสต์แบงก์ เมื่อช่วงค่ำของวานนี้ (15 ม.ค.) เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ภายหลังจากที่สหรัฐอเมริกาเป็นโต้โผสำคัญในการประกาศรับรองให้กรุงเยรูซาเลม ‘ทั้งหมด’ เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ซึ่งควบรวมพื้นที่ของกรุงเยรูซาเลมตะวันออกที่ถือว่าเป็นเมืองหลวงของชาวปาเลสไตน์ไปด้วย
องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์มีมติจะระงับการรับรองรัฐของอิสราเอล ยุติความร่วมมือด้านความมั่นคงทุกรูปแบบ รวมถึงเรียกร้องให้บรรดารัฐอาหรับและมุสลิมทั้งหลายร่วมกันตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับบรรดารัฐที่ประกาศรับรองให้กรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลและย้ายสถานทูตมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
หลังจากที่มีการรับรองรัฐอิสราเอลเป็นครั้งแรกในปี 1988 องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PLO) และรัฐบาลอิสราเอล ต่างร่วมกันลงนามในข้อตกลงออสโล (Oslo Accords) ในปี 1993 และปี 1995 ซึ่งจะผลักดันให้เกิดรัฐปาเลสไตน์ขึ้น โดยมี Palestinian Authority (PA) เป็นกลไกสำคัญในการปกครองและบริหารประเทศเป็นการชั่วคราว ซึ่ง PA ระบุว่าคำตอบเดียวที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่ดำเนินมากว่า 70 ปีคือการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ขึ้น โดยมีกรุงเยรูซาเลมตะวันออกเป็นเมืองหลวง
แต่นับตั้งแต่ลงนามในข้อตกลงดังกล่าว ชาวอิสราเอลต่างเข้ามาสร้างบ้านเรือนในพื้นที่ของชาวปาเลสไตน์มากยิ่งขึ้น โดยในปัจจุบันมีชาวอิสราเอลกว่า 600,000-750,000 คนอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ทำให้ความหวังของชาวปาเลสไตน์ที่ต้องการจะมีประเทศเป็นของตนเองเลือนรางลงทุกที โดยเฉพาะการประกาศรับรองให้กรุงเยรูซาเลม ‘ทั้งหมด’ เป็นเมืองหลวงของอิสราเอลอีก ยิ่งทำให้การจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์เป็นไปได้ยากมากยิ่งขึ้น และปลุกกระแสความขัดแย้งที่มีมาอย่างยาวนานให้ปะทุเดือดขึ้นอีกครั้ง
อ้างอิง:
