วานนี้ (31 สิงหาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ภคมน หนุนอนันต์ หรือลิซ่า สส. บัญชีรายชื่อ รองโฆษกพรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ตนขอชี้ให้เห็นถึงต้นตอของปัญหางบประมาณมหาศาลที่ไม่โปร่งใส
จากรายงานในปี 2565 สำนักงาน กสทช. ตั้งงบประมาณ 6,765 ล้านบาท และปี 2566 สำนักงาน กสทช. ตั้งงบประมาณอีก 6,271 ล้านบาท งบประมาณ กสทช. ในแต่ละปี เป็นจำนวน 6 พันกว่าล้านบาทนี้ เป็นงบที่มากกว่าหลายกระทรวง แต่ไม่มีแม้แต่เพียงบาทเดียวที่ผ่านการพิจารณาโดยองค์กรที่มาจากประชาชน
แหล่งรายได้ กสทช. มาจากการเก็บสัมปทานคลื่นความถี่ แต่ กสทช. ไม่ใช่ผู้ที่หาเงินเอง แต่เป็นเหมือนหน่วยงานเก็บค่าต๋ง ที่มีหน้าที่เก็บรายได้ค่าธรรมเนียมจากคลื่นความถี่ที่เป็นสมบัติสาธารณะโดยมีประชาชนทั้งประเทศเป็นเจ้าของ เพื่อนำรายได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
แต่จากผลการปฏิบัติงาน รายได้ของ กสทช. ปีละประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ถูกนำไปใช้อย่างไร ตาม พ.ร.บ.กสทช. มาตรา 65 เปิดช่องให้ กสทช. นำรายได้ที่จัดเก็บได้แต่ละปี หักค่าใช้จ่ายก่อนที่จะนำส่งเข้าเป็นเงินแผ่นดิน ซึ่งค่าใช้จ่ายของตัวคน 7 คน ใช้เงินของประเทศปีละ 28.6 ล้านบาท
แต่จากการบริหารงานของ กสทช. ทำให้ตนคิดว่านี่คือระบบเจ้าภาษีนายอากร ที่ถูกยกเลิกไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีกลุ่มบุคคลได้รับอำนาจตามกฎหมายเข้าไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากอะไรสักอย่าง หลังจากหักเปอร์เซ็นต์ไว้กับตัวจำนวนหนึ่งแล้ว ส่วนที่เหลือค่อยส่งคืนให้กับรัฐบาล
ภคมนกล่าวว่า กรณีแรกที่สังคมตั้งคำถามถึงความไม่โปร่งใส คือการเดินทางไปต่างประเทศของประธาน กสทช. มีสื่อรายงานข่าวว่าประธาน กสทช. แค่ 1 ปี 3 เดือน บินไปต่างประเทศ 15 ครั้ง ถลุงงบฯ 45.8 ล้านบาท แต่ให้เลขาฯ ออกมาชี้แจงว่า จริงๆ แล้วค่าใช้จ่ายเดินทางไปต่างประเทศไม่ใช่ 45.8 ล้านบาทตามที่สื่อนำเสนอ แต่เป็น “7.5 ล้านบาทเท่านั้น”
ดังนั้น เพื่อความโปร่งใส ตนขอเรียกร้องให้สำนักงาน กสทช. เปิดเผยข้อมูลการเดินทางไปต่างประเทศทั้งหมดของสำนักงานให้สังคมได้พิจารณา
ภคมนกล่าวอีกว่า อีกหนึ่งโครงการที่ตนขอตั้งคำถาม คือการอนุมัติโครงการพัฒนาทักษะสร้างความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสู่สังคมดิจิทัล 5 ภูมิภาค งบประมาณ 1.79 พันล้านบาท
“โครงการนี้ทำอะไร โครงการนี้จ่ายเงินจ้างบริษัทเอกชนในแต่ละภูมิภาคให้ไปอบรมประชาชนชายขอบใช้เทคโนโลยี ประมูลขายงานกันไปตามภูมิภาคต่างๆ ซึ่งก็น่าสงสัยนะคะว่างบ 1.8 พันล้าน อบรมการใช้เทคโนโลยีให้กับคนชายขอบช่วงเลือกตั้ง มีเป้าหมายเพื่ออะไร กลุ่มเป้าหมายที่ผ่านการอบรมการใช้เทคโนโลยีที่ กสทช. บอกว่ามีกลุ่มเป้าหมาย 5 แสนคนไปอยู่ที่ไหนหมด และตอนนี้ประชาชนเหล่านั้นใช้เทคโนโลยีเก่งขึ้นจริงหรือไม่” ภคมนกล่าว
ภคมนกล่าวว่า ตนเป็นนักข่าวเก่า มีแหล่งข่าวให้ข้อมูลที่น่าสนใจมาว่า มีบริษัทชื่อ ‘ทาลอนเน็ต’ มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับบอร์ด กสทช. และรับงานโครงการต่างๆ ของ กสทช. ตนอยากทราบว่าข้อมูลนั้นจริงหรือไม่ ก็เลยลองค้นข้อมูลดู
จากการสืบค้นพบว่า บริษัท ทาลอนเน็ต จำกัด มีตัวตนอยู่จริง ได้รับงานประมูล กสทช. จริง ตามที่แหล่งข่าวแจ้งมา โดยเป็นบริษัทประกอบกิจการซื้อขาย ติดตั้ง บริการซ่อมบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ บริการออกแบบและพัฒนาอีคอมเมิร์ซโซลูชัน และบริการให้คำปรึกษา มีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท
ส่วนข้อมูลการรับงานภาครัฐ ตั้งแต่ปี 2560-2566 มีการรับงานไปแล้ว 35 โครงการ วงเงินรวม 141.8 ล้านบาท 21 จาก 35 โครงการ เป็นการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง
ทั้งนี้ บริษัท ทาลอนเน็ต ดังกล่าว โครงการเกือบทั้งหมดรับจาก กสทช. ที่เดียว ลองค้นหาข้อมูลดู ไม่พบเว็บไซต์ของบริษัท หรือ Company Profile ใดๆ เลย ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบรายได้บริษัทกับวงเงินจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ทั้งหมดแทบจะเท่ากันพอดี หรืออาจกล่าวได้ว่าบริษัท ทาลอนเน็ต มีรายได้หลักมาจากการรับงานโครงการของรัฐ
และจากข้อมูลรายได้ เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหลังเข้ารับงาน กสทช. ในปี 2560 รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ภคมนยังเปิดภาพที่ตั้งบริษัทดังกล่าว พร้อมกับกล่าวว่า บริษัทนี้ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 555/149 ซอยสายไหม 54/1 แขวงสายไหม เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร 10220 ซึ่งเป็นที่ตั้งเดียวกันกับ ‘ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไอมิตา’ การจัดหาน้ำและการจ่ายน้ำสำหรับใช้ในครัวเรือนและอุตสาหกรรมผ่านระบบประปา
จากที่ทีมของตนไปตรวจสอบพบว่าที่ตั้งบริษัทที่รับงาน กสทช. ปีละ 30 กว่าล้านนั้น สภาพจริงเป็นทาวน์เฮาส์ 1 คูหา 3 ชั้น ปัจจุบันมีกางเกงตากอยู่หน้าบริษัทด้วย และบริษัทนี้ก็ยังคงดำเนินการ และยังรับงานจาก กสทช. ด้วย ในปี 2566
“เรื่องนี้ ดิฉันอยากให้มีการชี้แจงว่า กสทช. ใช้งบประมาณของรัฐปีละ 20-30 ล้าน จัดซื้อจัดจ้างโครงการแบบนี้ได้อย่างไร และข้อกล่าวหาว่ามี กสทช. ท่านหนึ่งเกี่ยวข้องนั้น ข้อเท็จจริงแล้วเป็นอย่างไร อยากให้ท่านชี้แจงออกมาให้ประชาชนทราบ”