วันนี้ (26 พฤษภาคม) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางถึงศูนย์ประชุม Kuala Lumpur Convention Centre การเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 46 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง โดยมี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียให้การต้อนรับ
การประชุมอาเซียนครั้งนี้ มาเลเซียเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ภายใต้แนวคิดหลัก ‘การมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง และความยั่งยืน’ (Inclusivity and Sustainability)
ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน 9 ชาติ ได้แก่ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม, ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินโดนีเซีย, ประธานาธิบดีสาธารณรัฐฟิลิปปินส์, นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย, นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสิงคโปร์, นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม, นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา รวมถึงนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย
นอกจากนี้ ยังมี ดร. เกา กิม ฮวน เลขาธิการอาเซียน และนายกรัฐมนตรีติมอร์-เลสเต เข้าร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์
แพทองธารกล่าวถึงความสำคัญของการประชุมสุดยอดอาเซียนในครั้งนี้ ซึ่งจัดขึ้นในช่วงเวลาที่ภูมิทัศน์โลกกำลังเปลี่ยนไปสู่นโยบายที่แข็งกร้าวและมุ่งผลประโยชน์ตอบแทน ถอยห่างจากแนวทางความร่วมมือพหุภาคีไปสู่การปฏิบัติฝ่ายเดียว มาตรการด้านภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ได้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อพลวัตทางการค้าโลก และต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของอาเซียนโดยรวม พัฒนาการดังกล่าวได้ท้าทายบรรทัดฐานโลก ทำให้อาเซียนต้องประเมินยุทธศาสตร์ของอาเซียนอีกครั้ง เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นร่วมกัน
โดยนายกรัฐมนตรีได้ถือโอกาสนี้ ขอบคุณต่อความพยายามของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในการส่งเสริมจุดยืนอันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียน
ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน อาเซียนจำเป็นต้องสร้าง เครือข่ายห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจร และทำงานร่วมกันมุ่งไปสู่การบูรณาการระดับภูมิภาคที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อให้อาเซียนยังคงมีบทบาทความสำคัญ ที่น่าดึงดูด และแข่งขันได้ จึงต้องมีการสนับสนุนการค้าภายในอาเซียน ใช้ประโยชน์จาก FTA ที่มีอยู่ให้เต็มที่ พิจารณาจัดทำ FTA กับภาคีใหม่ๆ ควบคู่กับส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบ MSMEs เพื่อให้สามารถต่อสู้กับความท้าทายในอนาคตได้
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ประเทศไทยสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อระบบการค้าพหุภาคีที่โปร่งใส เสรี ยุติธรรม และมีกฎเกณฑ์ที่คาดเดาได้ โดยประเทศไทยจะเร่งรัดการจัดทำ Digital Economy Framework Agreement (DEFA) ให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 เพื่อปลดล็อกการเติบโตครั้งใหม่ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในอนาคต และแสดงให้เห็นว่า อาเซียนไม่หยุดนิ่งในการแสวงหาความก้าวหน้า ควบคู่กับการตอบสนองต่อภูมิทัศน์ของการค้าและการลงทุนระดับโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ