เวลา 15.00 น. ของวันที่ 29 สิงหาคมนี้ องค์ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน นัดอ่านคำวินิจฉัยชี้ชะตาอนาคตทางการเมืองของ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 และเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 จากตระกูลชินวัตร
ในคดีที่มีจุดเริ่มต้นจากคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งมีเนื้อหาพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 จนถูกมองว่าอาจกระทบต่ออธิปไตยของไทย
ที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดสถานะความเป็นนายกรัฐมนตรี ของ ‘แพทองธาร’ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของแพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ ตีตราด้วยข้อกล่าวหา “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง”
ข้อกล่าวหานี้เคยเกิดขึ้นกับ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งดำรงตำแหน่งได้เพียง 11 เดือน 23 วัน และมีเป้าหมายเดียวกัน คือให้แพทองธารต้องพ้นจากตำแหน่งเช่นเดียวกับเศรษฐาที่ต้องปิดฉากทางการเมืองด้วยข้อกล่าวหาเดียวกันเมื่อปีก่อน
THE STANDARD ชวน รศ. ดร.มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักวิชาการด้านกฎหมาย มาวิเคราะห์ทิศทางอนาคตทางการเมืองของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 จากกรณีคลิปเสียง ‘หลานกับลุง’ และความน่าเชื่อถือของกฎหมายไทยที่อาจส่งผลกระทบต่อประชาธิปไตยไทยในอนาคต
รศ. ดร.มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ภาพ: THE STANDARD
รศ. ดร. มุนินทร์ วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ คดีคลิปเสียง ของแพทองธาร ว่า กระบวนการที่เป็นอยู่ขณะนี้ แพทองธารจำเป็นต้องต่อสู้ภายในกรอบการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ โดยขั้นตอนที่เหลืออยู่ คือ การยื่นแถลงการณ์ปิดคดี ซึ่งถือเป็นโอกาสสุดท้ายก่อนที่ศาลจะมีคำวินิจฉัย
หลังจากรวบรวมและประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้านแล้ว พบว่าหากสามารถนำเสนอหรือเน้นย้ำประเด็นที่มีน้ำหนักได้อย่างเหมาะสม แถลงการณ์ปิดคดีอาจทำให้ศาลพิจารณาและรับฟังความสำคัญของประเด็นเหล่านั้น จึงถือเป็นจังหวะสำคัญในการต่อสู้ทางกฎหมายของแพทองธารอีกครั้งก่อนการชี้ชะตาของศาลรัฐธรรมนูญ
หรืออีกทางเลือกหนึ่งของแพทองธาร คือ การลาออก ซึ่งอาจช่วยหลีกเลี่ยงการถูกวินิจฉัยได้ หากศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี ก็จะหมายความว่าเธอยังไม่เคยถูกตัดสินว่ามีลักษณะต้องห้าม เช่น ขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หรือฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง
อย่างไรก็ตาม รศ. ดร.มุนินทร์ อธิบายว่า ตามมาตรา 51 แห่งพระราชกำหนดวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ได้ถูกบังคับให้จำหน่ายคดี แม้ผู้ถูกร้องจะลาออก ศาลยังคงมีอำนาจพิจารณาต่อได้ หากเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ซึ่งหมายความว่า ศาลมี 2 ทางเลือก คือจำหน่ายคดี หรือพิจารณาให้ถึงที่สุด
หากศาลเลือกพิจารณาต่อ ก็อาจนำไปสู่คำวินิจฉัยว่า แพทองธารฝ่าฝืนข้อห้ามและขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งย่อมส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานะทางการเมือง ดังนั้นการลาออกไม่ได้รับประกันว่าศาลจะยุติคดี โอกาสยังคงอยู่ที่เพียง 50:50
แต่ในแง่ของผลระยะยาวอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะอย่างน้อยยังไม่ถูกวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติ เพราะตนเองยังไม่เห็นช่องทางอื่นใดที่จะทำให้แพทองธารพ้นจากการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ได้
แพทองธาร ชินวัตร แถลงยืนยันพยายามเกิน 100% ทำเพื่อชาติ
น้อมรับมติศาลรัฐธรรมนูญ 7:2 สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว
ภาพ: ฐานิส สุดโต
รศ.ดร.มุนินทร์ มองว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 29 สิงหาคม อาจเป็นเรื่องยากที่จะคาดหวังผลเชิงบวก เนื่องจากเหตุผลในการยื่นคำร้องไม่ได้มีน้ำหนักมากพอให้ถึงขั้นนายกรัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่ง แต่การที่ศาลยังรับคำร้องและสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว แสดงให้เห็นว่า มุมมองของศาลรัฐธรรมนูญหรือผู้ที่ต้องการให้แพทองธารหลุดจากตำแหน่ง ต่างมีความรู้สึกกดดันอย่างรุนแรง ที่มองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ‘ความรู้สึก’ ซึ่งทำให้ข้อกล่าวหาที่ตามหลักกฎหมายอาจไม่มีน้ำหนักมาก แต่กลับถูกขยายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ และในมุมนี้ถือเป็นสัญญาณไม่สู้ดีต่อแพทองธาร เพราะเพียงแค่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณา ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงทางการเมืองที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว
“ในบรรยากาศที่ความขัดแย้งยังไม่ยุติ ความรู้สึกของประชาชนในทางการเมืองก็ยังคงดำเนินต่อไป คดีอื่นๆ บางครั้งเวลาผ่านไปคนก็อาจจะลืมไป แต่เมื่อความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชายังคงดำเนินอยู่ ถึงแม้ว่าจะลดน้อยลงบ้าง แต่มันก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ คนยังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด”
กระนั้น ตนเองในฐานะนักกฎหมายขอยืนยันว่า ศาลรัฐธรรมนูญควรต้องตัดสินตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง ไม่ควรอยู่ภายใต้อิทธิพลความรู้สึกนึกคิดทางการเมืองของคนในสังคมในการเข้ามามีอิทธิพลต่อการพิจารณาคดี และไม่ควรจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในความรู้สึกร่วมทางการเมืองกับกลุ่มคนต่างๆ ซึ่งศาลก็ต้องถอนตัวเองออกมาให้ได้
แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ในความเป็นจริงต้องยอมรับว่า บรรยากาศทางการเมืองและความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคม มีผลต่อการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีมาตลอดตั้งแต่มีศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2540
นอกจากนี้ รศ.ดร.มุนินทร์ เห็นว่า กระบวนการพิจารณาคดีดังกล่าวนี้ เป็นไปอย่างรวดเร็ว เร่งรัด การสืบพยานหลักฐานต่างๆ ค่อนข้างจะเกิดขึ้นรวดเร็ว อีกทั้งบางส่วนยังปิดเป็นความลับ โดยที่สาธารณชนไม่ทราบว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ เหตุการณ์ที่องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งไต่สวนพยานบุคคลนัดสุดท้ายเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้งแพทองธาร ในฐานะผู้ถูกร้อง และฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มาขึ้นเบิกความ
แต่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ถ่ายทอดภาพและเสียง โดยให้เหตุผลว่าเป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ และห้ามผู้เข้าฟังนำข้อมูลออกไปเผยแพร่หรือบิดเบือนข้อเท็จจริงที่อาจทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด
แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นเบิกความ คดีคลิปเสียง สนทนากับสมเด็จฮุนเซน
ต่อองค์ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วยตัวเอง
เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568
ภาพ : ณาฌารัฐ ภักดีอาสา
หมายความว่า สาธารณชนไม่ทราบว่าในห้องพิจารณาเกิดอะไรขึ้นบ้าง หรือแม้ศาลจะมีการเลื่อนกำหนดแถลงการณ์ปิดคดีในวันที่ 25 สิงหาคม แต่หากมองภาพรวมจะพบว่า กระบวนการพิจารณาเป็นไปอย่างเร่งรัดและกระชั้นชิดกว่าปกติ ต่างจากวิถีการดำเนินคดีในศาลทั่วไป ที่มักให้เวลาฝ่ายผู้ถูกร้องได้ชี้แจง และนำสืบพยานหลักฐาน รวมถึงเปิดโอกาสให้ศาลพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน
ขณะเดียวกันศาลรัฐธรรมนูญมีวิธีการทำงานไม่เหมือนศาลอื่นๆ เพราะเมื่อถึงที่สุดแล้ว การวินิจฉัยขึ้นอยู่กับการลงมติของตุลาการ มากกว่าการไต่สวนพยานหลักฐานอย่างละเอียด ดูจากกำหนดเวลาที่ประกาศออกมา ศาลประชุมกันตอนเช้าแล้วลงมติว่า ‘ผิดหรือถูก’ ก่อนจะแจ้งผลคดีออกมาให้สาธารณชนรับทราบ
กระบวนการเช่นนี้ ถือเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยพบมาก่อน แม้กระทั่งในต่างประเทศ และในประเทศไทยเอง ศาลทั่วไปก็ไม่ได้ดำเนินการพิจารณาเร่งรีบขนาดนี้ และด้วยความที่ แพทองธารดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหารนั้น
หากกระบวนการพิจารณาสั้นและเร่งรีบเช่นนี้ อาจทำให้เกิดความรู้สึกว่าการดำเนินการ รวบรัดเกินไป และฝ่ายที่ถูกกล่าวหาอาจไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างเต็มที่ ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลต่อความชอบธรรมในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
‘ทักษิณ-แพทองธาร ชินวัตร’
ภาพ : ณาฌารัฐ ภักดีอาสา
เมื่อถามว่าในคดีดังกล่าวนี้มีโอกาสที่รัฐพันลึก (Deep State) จะเข้ามาแทรกแซงการเมือง และปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อคดีและอนาคตทางการเมืองของแพทองธารหรือไม่ รศ.ดร.มุนินทร์ กล่าวว่า ในกระบวนการพิจารณาที่เร่งรัดและเปิดบ้างปิดบ้าง ทำให้ไม่สามารถทราบได้อย่างชัดเจนว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งทำให้เกิดข่าวลือและคำพูดเกี่ยวกับ ‘ดีล’ ขึ้นในสังคม แม้ว่าจะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า มีการเจรจาเบื้องหลังจริงหรือไม่ แต่บรรยากาศเช่นนี้ ที่ส่งผลต่อการรับรู้ของประชาชน ทำให้ข้อกล่าวหาดังกล่าวมีน้ำหนักทางสังคมมากขึ้น
ส่วนปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อคดีในทางบวกหรือลบต่อแพทองธารหรือไม่นั้น รศ.ดร.มุนินทร์ เน้นย้ำว่า เป็นเรื่องที่ยากจะคาดการณ์ เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถคาดเดาได้ อีกทั้งหากมีการเจรจาทางการเมือง ประชาชนก็ไม่อาจรับรู้เหตุผลหรือเงื่อนไขที่แท้จริง นำไปสู่ความไม่แน่นอน ซึ่งอาจมีหรือไม่มีผลใดๆ ต่อคดีก็ได้
“เมื่อกระบวนการไม่ปกติและไม่โปร่งใสเหมือนศาลอื่นๆ หรือไม่เป็นไปตามสิ่งที่ประชาชนคุ้นเคย ก็ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการจินตนาการและข้อสงสัยต่างๆ ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่กระบวนการทางกฎหมายต้องมีความชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรม เพื่อให้ประชาชนรู้สึกว่าตนเองมีส่วนร่วม”
รศ.ดร.มุนินทร์ ยกตัวอย่างคดีซุกหุ้นของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีบิดาของแพทองธารเมื่อปี 2544 ว่า การพิจารณาในคดีดังกล่าวมีการนำเสนอพยานหลักฐานอย่างเต็มที่ โปร่งใส มีการถ่ายทอดสด ทำให้ประชาชนรับทราบกระบวนการพิจารณา
แต่ในช่วงหลัง กระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญบางเรื่องมีลักษณะผิดแปลกและไม่ปกติ จึงเกิดข่าวลือและคำว่าดีลขึ้นมา ซึ่งหากมีการดีลเกิดขึ้นจริง ก็ถือว่าไม่ดีต่อกระบวนการยุติธรรม เพราะกระบวนการของศาลควรเป็นการต่อสู้กันด้วยพยานหลักฐาน และประชาชนควรเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่าย
“โดยเฉพาะคดีในศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเทศโดยรวม ประชาชนควรมีความเข้าใจและสามารถติดตามได้ มันไม่ควรมีอะไรปกปิดหรือทำให้เกิดความสงสัยว่ามีการคุยอะไรข้างหลัง”
เมื่อให้เปรียบเทียบกับกรณีการถอดถอนเศรษฐา ทวีสิน เมื่อปีที่ผ่านมาถูกตีตราด้วย ข้อกล่าวหา “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง” นั้น รศ.ดร.มุนินทร์เห็นว่า ทั้ง 2 คดีมีลักษณะคล้ายกันในแง่ความเบาหวิวของข้อกล่าวหา
2 นายกฯพรรคเพื่อไทย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
กรณีเศรษฐา ไม่ได้กระทำผิด และเกี่ยวข้องกับเขาโดยตรง เป็นเพียงการเสนอชื่อเข้าไปดำรงตำแหน่ง ซึ่งผ่านกระบวนการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาก่อน ซึ่งไม่ได้มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง
ส่วนกรณีแพทองธารก็เป็นเรื่องเบาหวิวเช่นกัน แต่เกิดในบรรยากาศกระแสชาตินิยม มีความเกี่ยวพันกับความขัดแย้งระหว่างประเทศ ไทย–กัมพูชา ทำให้บรรยากาศเป็นลบต่อแพทองธารอย่างเห็นได้ชัด
“แต่ถ้าวัดกันในแง่กฎหมายและข้อเท็จจริง ทั้งสองกรณีถือว่าเบาหวิวพอๆ กัน แต่ก็ต้องรอเปิดคำพิพากษาเต็มรูปแบบเพื่อดูว่าพยานหลักฐานอื่นๆ จะมีน้ำหนักมากไปกว่าแค่ คลิปเสียง หรือไม่ ซึ่งอาจทำให้เกิดข้อกล่าวหาเรื่องความไม่สุจริตหรือฝ่าฝืนจริยธรรม ดังนั้นจึงต้องให้ความเป็นธรรมกับกระบวนการศาลรัฐธรรมนูญ และรอดูพยานหลักฐานทั้งหมดก่อนสรุปผล”
เมื่อถามว่า คดีนี้สะท้อนถึงบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบประชาธิปไตยไทยอย่างไร รศ.ดร.มุนินทร์กล่าวว่า การพิจารณาตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การเป็นผู้แทนประชาชน หรือการเป็นนักการเมือง ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด หรือจะเป็นพรรคการเมืองใหญ่หรือเล็ก ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ควรถูกตัดสินอย่างง่ายดาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับสะท้อนความน่าตกใจว่า หากการเลือกตั้งหมดความหมาย กระบวนการประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมก็จะสูญเสียคุณค่าไปโดยสิ้นเชิง
“อย่าลืมว่าการได้มาซึ่งนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็น สส. หรือนายกรัฐมนตรี ล้วนผ่านกระบวนการของ สส. มาแล้ว ประชาชนมีส่วนร่วมและรู้สึกเป็นเจ้าของ แต่หากผู้ที่มาจากการเลือกตั้งกลับถูกกลไกอื่น เช่น องค์กรอิสระที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนมาถอดถอนตำแหน่ง สิ่งนี้ไม่ใช่หลักในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง”
ขณะเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นวิธีการของเผด็จการที่บ่อนทำลายประชาธิปไตย ซึ่งเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการทำลายระบบนี้ และมีแนวโน้มจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันอีก
เพียงแต่เปลี่ยนตัวนักการเมืองหรือพรรคการเมือง ขณะนี้ทักษิณและแพทองธารเป็นเป้าหลัก ก่อนหน้านี้มีพรรคก้าวไกล พรรคอนาคตใหม่ หรือพรรคอื่นๆ ซึ่งยังต้องจับตาว่าใครจะเป็นรายต่อไปที่อาจเผชิญชะตาเดียวกัน เนื่องจากกลไกนี้ยังคงอยู่
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ได้เป็นการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม หากแต่คือการบ่อนทำลายประชาธิปไตย หากมองจากตัวชี้วัดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชาธิปไตย หลักนิติรัฐ ความโปร่งใสคอร์รัปชัน หรือแม้กระทั่งตัวเลขทางเศรษฐกิจ ล้วนสะท้อนภาพเดียวกันทั้งหมด คือ การถดถอยอย่างต่อเนื่อง
“ความล้มเหลวทางการเมือง กำลังลากเศรษฐกิจให้พังพินาศไปด้วยกัน และทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชนในสังคมที่มีต่อระบบต่างๆนั้น ตกต่ำไปด้วย” รศ.ดร.มุนินทร์กล่าวทิ้งท้าย
แพทองธาร ชินวัตร เข้าการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม
ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
ท้ายที่สุด แพทองธารอาจรอดจากมรสุมทางกฎหมาย หรือถูกโค่นลงเหมือนอดีตนายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้า บทสรุปไม่ได้สะท้อนเพียงชะตาเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่ยังเป็นดัชนีชี้ความน่าเชื่อถือของระบบถ่วงดุลอำนาจและอนาคตของประชาธิปไตยไทยด้วย
เพราะหากกลไกทางกฎหมายถูกใช้โดยขาดความโปร่งใส และความเป็นธรรม อาจกลายเป็นเครื่องมือของเผด็จการ ความล้มเหลวทางการเมืองย่อมกระทบเศรษฐกิจและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน ถือเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสื่อมถอยของประชาธิปไตย