วันนี้ (24 ธันวาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบตามที่กระทรวงแรงงานกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2568 ตามมติคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 ที่ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มวันละ 7-55 บาท เป็นวันละ 337-400 บาท
ทั้งนี้ กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาทใน 4 จังหวัด 1 อำเภอ ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นจังหวัดนำร่อง และจังหวัดอื่นๆ จะทยอยปรับตามแผน ซึ่งกระทรวงแรงงานจะชี้แจงในรายละเอียดต่อไป ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของผู้สูงอายุให้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่จำเป็น โดยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยกลุ่มเป้าหมายคือผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐที่มีสัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จะจ่ายเงินกลุ่มเป้าหมาย 10,000 บาทต่อคน ภายในเดือนมกราคม 2568 ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ ขณะที่ดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ภายในไตรมาส 2 ของปีหน้าจะได้ความชัดเจน
รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจปม MOU 2544
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกรณีที่ สนธิ ลิ้มทองกุล เดินทางมายื่นหนังสือทวงถาม และเรียกร้องให้ยุติ MOU 2544 หลังเคยมายื่นร้องต่อรัฐบาลแล้วเมื่อ 15 วันก่อน โดยระบุว่า เรื่องนี้คุยกันในรายละเอียด อยู่ในกระบวนการของกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดทำตามกระบวนการทางกฎหมาย การเจรจาทั้งหมดก็มีรายละเอียดอยู่ ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ปล่อยผ่าน ยังมีการพูดคุยและมีความเห็นที่หลากหลายไม่ตรงกันหลายเรื่อง ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องคุยในรายละเอียดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ยืนยันว่าเราพยายามรับฟังทุกฝ่ายให้มากที่สุด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุผลที่รัฐบาลไม่เปิดเวทีสาธารณะ แพทองธารกล่าวว่า เวลาเป็นเรื่องระหว่างประเทศแล้วเรามาสัมภาษณ์กันแบบนี้ มันไม่ได้เป็นข้อได้เปรียบสำหรับประเทศ บางเรื่องเป็นรายละเอียดที่เปิดเผยไม่ได้ ขอให้พี่น้องประชาชนสบายใจ เรื่องนี้เราไม่ได้นิ่งนอนใจ กระทรวงการต่างประเทศปรึกษากันอยู่ตลอด ผู้คนที่จะเกี่ยวข้องคุยเรื่องนี้กันอย่างละเอียด เพราะเป็นเรื่องที่เซนสิทีฟมาก จึงต้องใช้ความรอบคอบในการทำเรื่องนี้ เพราะยังมีอีกหลายประเด็น
สำหรับวิธีการที่จะทำให้ประชาชนที่เห็นค้านไม่ลงถนน ตัดไฟแต่ต้นลมอย่างไร แพทองธารระบุว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เซนซิทีฟมาก เป็นเรื่องระหว่างประเทศ คุยกันเรื่องผลประโยชน์ของประเทศชาติ เราไม่สามารถแถลงได้ก่อนพูดคุยกับต่างประเทศ จะทำให้เราเสียเปรียบ ดังนั้นเรื่องนี้เราไม่ได้ปล่อยผ่าน และจะให้รายละเอียดได้ในต้นปีหน้า
ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่า จะให้ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ช่วยเหลือเรื่องนี้อย่างไรบ้าง แพทองธารกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ต้องคุยกันในประเทศ เพราะยังไม่ได้คุยในรายละเอียดต่างประเทศ เรามีข้อมูลของแต่ละประเทศอยู่แล้ว
พร้อมแจ้งสื่อ หลัง ป.ป.ช. เปิดทรัพย์สิน
แพทองธารยังกล่าวถึงกรณีการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะเปิดเผยได้หรือไม่ และบริหารจัดการหุ้นทั้ง 16 บริษัทอย่างไร โดยระบุว่า ตอนนี้ตนส่งทุกอย่างไปหมดแล้ว ขอให้รอก่อน ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ หาก ป.ป.ช. เผยแพร่ออกมาแล้วสื่อมวลชนมีคำถามอะไรก็ค่อยถามมา
จริงจังปราบผู้มีอิทธิพล
แพทองธารยังกล่าวถึงกรณีที่มีนักวิชาการออกมาปรามาสการนั่งตำแหน่งประธานการปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยแพทองธารย้อนถามสื่อมวลชนว่า “ปรามาสดิฉันทำไมคะ ทำไมไม่ปรามาสผู้มีอิทธิพล อันนี้มันเริ่มก็ผิดแล้ว อันนี้ความจริงแล้วต้องถามว่าการปรามาสแบบนี้มันเกิดประโยชน์อะไร ทำไมเราไม่ดูเรื่องของผู้มีอิทธิพล เพราะตอนนี้ความจริงแล้วรัฐบาลมีนโยบายและแนวทางทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะเราไม่อยากทำให้เกิดความไม่สงบสุขจนประชาชนต้องลำบากจากผู้มีอิทธิพล ยืนยันว่าเรื่องนี้เราทำเต็มที่”
“เจอกันปกติ” ย้ำความสัมพันธ์พีระพันธุ์
แพทองธารยังกล่าวถึงความสัมพันธ์กับ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีกระแสเกิดความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล โดยระบุว่า “ดีค่ะ เจอกันปกติ”
เมื่อถามว่า ในอนาคตพรรครวมไทยสร้างชาติยังคงเป็นพรรคร่วมรัฐบาลใช่หรือไม่ แพทองธารไม่ตอบคำถามดังกล่าว แต่เดินเข้าห้องรับรองภายในตึกบัญชาการ 1 ทันที