Overlord เล่าเรื่องปฏิบัติการเสี่ยงตายของหน่วยทหารสัมพันธมิตรที่ได้รับภารกิจบุกโจมตีหอคอยสื่อสารของฝ่ายนาซีเพื่อเคลียร์พื้นที่ให้การ ‘ยกพลขึ้นบก’ ณ ชายหาดประเทศฝรั่งเศส ที่จะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินผลสงครามโลกในครั้งนี้ แต่ศัตรูของทีมโอเวอร์ลอร์ดไม่ได้มีแค่ทหารฝั่งนาซี แต่ยังมีผีดิบที่ถูกสร้างขึ้นมาจากการทดลองเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่พร้อมจะทำให้ภารกิจนี้ล้มเหลวได้ทุกเมื่อ
ถึงแม้ในเรื่องนี้ เจ.เจ. แอบรัมส์ จะอยู่ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง และมอบหน้าที่กำกับให้ จูเลียส เอเวอรี จาก Son of a Gun (2014) แทน แต่ลายเซ็นความระห่ำในฉากแอ็กชันของเขาก็ยังถูกนำเสนอออกมาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
เริ่มตั้งแต่ฉากกระโดดร่มตอนเปิดเรื่องที่เล่าด้วยมุมกล้องฉวัดเฉวียน เอฟเฟกต์ตูมตาม และกินเวลายาวนานเกือบ 10 นาที ชนิดที่ว่าถ้าเป็นแฟนหนังแอ็กชันที่ต้องการความสะใจ Overlord ตอบโจทย์ข้อนี้ได้เป็นอย่างดี แต่กลับกัน ถ้าคาดหวังอยากเห็นหนังสงครามที่ลุ่มลึกและนิ่งกว่านั้น ทุกสิ่งที่สงครามครั้งนี้ประเคนมาให้อาจจะมากเกินไปถึงขั้นเวียนหัว และทนไม่ไหวกับเสียงระเบิดตูมตามที่ดังเกินความจำเป็นขึ้นมาได้เหมือนกัน
สำหรับคนที่ดูตัวอย่างหนังมาแล้วคิดว่าจะได้ดูหนังต่อสู้กับซอมบี้เป็นหลักอาจต้องทำใจเล็กน้อย เพราะ Overlord มีสไตล์การเล่าเรื่องที่เน้นไปที่ตัวสงครามระหว่างสัมพันธมิตรและฝั่งนาซีมากกว่า ซอมบี้เป็นเพียงหนึ่งในอาวุธสำคัญในเรื่องเท่านั้น แต่เมื่อถึงเวลาตัดสินกับซอมบี้ในตอนท้าย นักแสดงอย่าง ไวแอตต์ รัสเซล ในบทผู้หมวดฟอร์ด ก็ทำให้เราลุ้นตัวเกร็งได้อยู่เหมือนกัน
รวมทั้งตัวละครที่ชื่อ ทิบเบ็ต (รับบทโดย จอห์น มากาโร) ที่เราอยากให้จับตาดูเป็นพิเศษ เพราะนี่คือตัวละครสมทบที่ทำให้เราเกลียดในตอนต้น แต่เกือบเสียน้ำตาให้กับเขาในตอนท้ายได้มากกว่าตัวละครหลักจริงๆ เสียอีก
สิ่งที่น่าสนใจคือหนังทดแทนฉากสู้กับซอมบี้ที่หายไปด้วยการเล่าถึงกระบวนการสร้างซอมบี้ขึ้นมามากขึ้น ถึงแม้ว่าในหลายๆ อย่างจะดูขัดกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง แต่โดยรวมก็ถือว่าเป็นความพยายามเพิ่มมิติให้กับกองทัพซอมบี้ได้อย่างน่าสนใจ
กล่าวโดยสรุป Overlord คือหนังแอ็กชันที่น่าสนใจ พล็อตเรื่องดูง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อนเกินคาดเดา ถ้าดูแบบไม่คาดหวังอะไรมาก นี่คือหนังที่ดูเพลินได้แบบไม่รู้สึกเสียดายเงิน แต่ถ้าดูแบบจับผิดและต้องการความสมเหตุสมผลในทุกๆ การกระทำอาจต้องผิดหวังเล็กน้อย
โดยเฉพาะตัวละครพระเอกที่รับบทโดย โจแวน อะดีโป ซึ่งวิ่งหลุนๆ อยู่ในฐานทัพนาซีที่มีการป้องกันหนาแน่นอยู่นานสองนานโดยไม่มีใครจับได้ และความ ‘โลกสวย’ ในแบบจับยัดอย่างไม่มีที่มาที่ไปก็พลอยทำให้หงุดหงิดใจได้มากพอสมควรเหมือนกัน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์