ในปัจจุบันรูปแบบการใช้ชีวิตของคนเรานั้นเร่งรีบ ต้องการความสะดวกสบายและประสิทธิภาพสูงสุด เรามีตัวช่วยมากมายที่เร่งให้ผลเร็ว แล้วไหนจะมลภาวะต่างๆ รอบตัว อาหารการกิน สารเคมีต่างๆ ที่เราได้รับโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ และนั่นเป็นสาเหตุทำให้เราห่างไกลจากธรรมชาติเข้าไปทุกที ทำให้ร่างกายและจิตใจเราป่วยได้ง่าย
เมื่อคนจำนวนมากได้รับผลกระทบจากความด่วนสะดวก มีคนส่วนหนึ่งได้ฉุกคิดและหันมาใส่ใจกับสุขภาพมากขึ้น โดยเริ่มจากอาหารการกินที่พิถีพิถันเลือกมากขึ้น และจะสังเกตได้ว่าเมื่อพูดถึงอาหารเพื่อสุขภาพ คำหนึ่งที่ถูกค้นหามากที่สุดเห็นจะเป็นคำว่า ‘ออร์แกนิก’ ซึ่งเป็นกระบวนการทำเกษตรอินทรีย์โดยไม่ใช้สารเคมีเลย นั่นอาจเป็นความเข้าใจเพียงส่วนหนึ่ง จริงๆ แล้วมันมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากกว่านั้น
ด้วยความสนใจเรื่องการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ จึงทำให้นักการตลาด นักโฆษณา และที่ปรึกษาธุรกิจ อย่าง คุณนฤมล บุญทวีกิจ Co-founder & CEO แบรนด์ RAWGANIC มีเทคนิคชีวิตดีแบบปลอดสารพิษ และเข้ากับชีวิตคนเมืองมาฝากชาว THE STANDARD ด้วยล่ะ
จากอาชีพที่ปรึกษาทางด้านธุรกิจ ทำไมถึงตัดสินใจเปลี่ยนแนวมาทำธุรกิจเกี่ยวกับออร์แกนิก มันค่อนข้างแตกต่างกันมาก
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเราทำมาหลายอย่างมาก ทั้งการสื่อสารและการตลาด ทำให้รู้ว่าจะทำยังไงให้คนหยุดฟัง เข้าใจและยอมรับ ส่วนเรื่องการเป็นที่ปรึกษาธุรกิจ ก็ทำให้เราได้ฝึกสมอง สร้างคำตอบใหม่ให้กับโจทย์ธุรกิจหลากหลาย เพราะสิ่งที่ต้องเจอมันไม่ซ้ำกันเลย แต่ทั้งหมดมันเป็นธุรกิจของคนอื่น มันไม่มีอิสระที่จะปั้นทุกรายละเอียดของธุรกิจอย่างที่เราอยากให้มันเป็น พอถึงจุดนี้ของชีวิตที่เรามีความพร้อมที่จะสร้างสินค้าของตัวเอง เราจะได้ใช้ประสบการณ์ทั้งหมดมาออกแบบแบรนด์ที่สะท้อนตัวตนและความคิดของเราได้อย่างเต็มที่ จึงเป็นที่มาของ RAWGANIC จุดเริ่มต้นของแบรนด์ไม่ได้เริ่มต้นที่ตัวสินค้า แต่เริ่มที่แนวคิดในการดูแลชีวิตให้มีความสุข มีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ เป็นชีวิตที่ปลอดสารพิษให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
เริ่มต้นจากตัวเองและคิดว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ ก็เลยเริ่มแกะความคิดนี้ออกมาทำเป็นธุรกิจ
RAWGANIC คือศิลปะของการใช้ชีวิต เราต้องการถ่ายทอดความเชื่อเรื่องการเคารพ ยอมรับ นับถือธรรมชาติ ถ้าเราทำความรู้จักและเข้าใจการทำงานของธรรมชาติและผลดีต่อชีวิตเรา เราก็ไม่ต้องใช้ตัวช่วยมากเกินไป เช่น การใช้สารเคมี
เมื่อหันมาจับธุรกิจสายออร์แกนิก สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการทำธุรกิจมีอะไรบ้าง
การที่จะทำธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย มันมีรายละเอียดยิบย่อยมากมาย สำหรับโปรเจกต์นี้ก็เช่นกัน ความยากที่สุดมันอยู่ที่การทำแบรนด์สเกลแมส แต่ใช้วิธีการทำงานแบบแฮนด์เมดที่เต็มไปด้วยรายละเอียด เราเลือกทำงานกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางหลายๆ ด้าน เพื่อให้ได้งานออกมามีคุณภาพสมความตั้งใจเรามากที่สุด จุดเริ่มต้นของ RAWGANIC ไม่ได้เริ่มที่การเห็นโอกาสธุรกิจ เราไม่ได้คิดว่าธุรกิจออร์แกนิกกำลังมาแรงก็เลยลุกขึ้นมาทำ เราทำเพราะมันคือการใช้ชีวิตแบบที่เราเป็น และเราก็ไม่ได้คนประเภทที่คิดจะทำธุรกิจออร์แกนิกแล้วลุกมาปรุงสบู่เองขายเอง อย่างที่เราเห็นทั่วไปซึ่งมีเยอะมาก เราแค่รู้ว่าของดีมันอยู่ตรงไหน หน้าที่ของเราคือเปิดเรดาร์หาอะไรที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค
เราใส่ใจตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงการออกแบบแพ็กเกจจิ้ง ซึ่งเราอยากสื่อสารความตั้งใจแก่นแท้ของแบรนด์ลงในรายละเอียดเหล่านั้น จึงได้ให้ศิลปินมาออกแบบลายที่อยู่บนกล่องและถุงผ้า อีกทั้งยังให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการพับกระดาษมาออกแบบกล่องใส่สบู่ โจทย์คือทำยังไงให้คนเกิดความประทับใจตั้งแต่ก่อนใช้สบู่ด้วยซ้ำ ในช่วงต้นๆ ของการทำงานนี้ เราแจกสบู่ให้คนจำนวนมากนำไปใช้แล้วพบว่า คนไม่ใช้มันในทันทีแต่เอาไปเก็บอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ด้วยเหตุผลที่เราคิดไม่ถึงคือคนไม่ได้ใช้สบู่ก้อนกันมานานแล้วเลยไม่มีที่วางสบู่ เราจึงต้องหาทางออกโดยออกแบบที่วางสบู่และแถมไปกับสบู่ทุกก้อน เราใช้ใยบวบซึ่งเป็นวัสดุธรรมชาติ เรามีโจทย์ให้ผู้ผลิตว่าใยบวบที่ใช้ต้องไม่โดนสารเคมี ไม่มีสารฟอกสีและสารกันเชื้อรา นำมารีดและตัดเย็บขนาดพอดีกับสบู่ เป็นเรื่องแปลกใหม่ที่แม้แต่คนที่อยู่ในวงการใยบวบมา 30 ปี ก็ไม่เคยเจอโจทย์แบบนี้มาก่อน ที่สำคัญเป็นงานแฮนด์เมดทุกขั้นตอน สำหรับใยบวบนี้ คนที่ได้ใช้จะชอบมากเพราะเป็นเรื่องเกินความคาดหมายของทุกคน ที่วางสบู่ใยบวบนี้มีพื้นที่ด้านล่างในการระบายน้ำ จึงทำให้สบู่คงสภาพและเก็บได้นานขึ้น
ทำไมต้องเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับออร์แกนิก แล้วมันดีอย่างไร
เมื่อเราคิดอยากจะทำผลิตภัณฑ์อะไรสักอย่าง เราก็อยากทำออกมาให้มีคุณภาพและมีประโยชน์มากที่สุด แรงบันดาลใจในการทำผลิตภัณฑ์นี้ก็มาจากประสบการณ์ชีวิตค่ะ วันหนึ่งเรามาถามตัวเองว่า เรามีความสุขจากอะไร ก็ได้คำตอบเลยว่า การมีสุขภาพกายและใจที่ดี จริงๆ แล้วมันก็ต้องมาจากสุขภาพกายก่อน จากนั้นก็เลยมาหาว่าอะไรที่ทำให้เรามีสุขภาพกายที่ดี ซึ่งค้นพบว่า พฤติกรรมของคนในสังคมมันไม่ได้สอดคล้องไปกับเป้าหมายที่ต้องการแสวงหาความสุข ส่วนตัวแล้วพี่เป็นเพอร์เฟกชันนิสต์ บ้าคลั่งความเร็วและความสมบูรณ์แบบ เอาจริงเอาจัง รักสะดวกสบาย และเป็นนักบริโภคนิยมตัวยง ซึ่งพี่คิดว่าตัวเรานี่แหละก็เป็นตัวแทนของคนในปัจจุบัน ใช้ชีวิตแบบนี้มา 40-50 ปี จนถึงวันหนึ่งได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เราทำกับตัวเอง มันออกมาทางสุขภาพกายก่อนแล้วก็ตามด้วยความเครียดสะสม จนถึงจุดที่เราต้องหยุดและพิจารณาตัวเอง คำตอบคือเราต้องเปลี่ยน ต้องหาเส้นทางที่ถูกต้อง นั่นเป็นจุดเริ่มต้นในการสนใจคำตอบที่มีอยู่ในธรรมชาติ เราไม่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแบบพลิกฝ่ามือนะ แต่ค่อยเป็นค่อยไปแค่เริ่มจากการเลือกกิน เลือกใช้ของที่มาจากธรรมชาติปราศจากสารพิษ ซึ่งการปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มันทำให้สุขภาพและชีวิตดีขึ้น ก็เลยอยากจะแชร์แนวคิดนี้ให้กับทุกคนผ่านแบรนด์ของเรา เพราะแค่เราเริ่มต้นที่จะปรับเปลี่ยนทีละน้อย มันก็ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
ธรรมชาติของมนุษย์ รักตัวเองคือเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะรักตัวเองแบบไหน ประสบการณ์ชีวิตที่มากขึ้น ทำให้เรารู้ว่า สิ่งไหนควรเสพ ไม่ควรเสพ อะไรดี อะไรไม่ดี และถึงแม้ทุกวันนี้เราจะไม่สามารถสร้างโลกที่ปลอดภัย 100% แต่ถ้าเรารู้จักที่จะเลือก มันก็จะทำให้สุขภาพทั้งกายและใจดีขึ้น จึงเป็นที่มาของโปรเจกต์นี้ และในฐานะที่ปรึกษาที่จะมาเป็นเจ้าของธุรกิจจะทำอะไรก็ต้อง เป็นประโยชน์ สอดคล้องกับแนวความคิดและพฤติกรรมของเราด้วยมันถึงจะยั่งยืน”
แนวทางการใช้ชีวิตแบบ Organic Life เป็นอย่างไร เพราะบางคนอาจยังไม่เข้าใจหรือไม่รู้จักมากนัก
ในปัจจุบันนี้คำว่า ออร์แกนิก เป็นคำที่ใช้กันฟุ่มเฟือยมาก เพราะมีตั้งแต่การปลูกผักเองหลังบ้าน การขายสินค้าจากธรรมชาติแต่บอกว่าออร์แกนิก ไปจนถึงการผลิตโดยมีตรารับรองต่างๆ จึงทำให้มีความเข้าใจที่หลากหลาย สำหรับพี่แล้วมันคือเรื่องความปลอดภัยสูงสุด เพราะฉะนั้นเพื่อความง่ายที่สุดสำหรับผู้บริโภค สิ่งที่ต้องดูคือตรารับรองสำหรับผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก ซึ่งในต่างประเทศให้ความสำคัญกับเครื่องหมายรับรองนี้มาก เพราะถ้าไม่ได้เป็นออร์แกนิกจริงจะเคลมใช้คำว่า ‘ออร์แกนิก’ ไม่ได้เลย ซึ่งเครื่องหมายรับรองที่เข้มข้นที่สุดคือ ตรา USDA Organic (ย่อมาจาก United States Department of Agriculture เป็นตรารับรองอาหารและผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกของสหรัฐอเมริกา)
Organic Life ในปัจจุบันจึงหมายถึงการที่เราไม่จำเป็นที่จะต้องปลูกผักปลูกข้าวกินเอง เป็นชีวิตที่ยาก ต้องใช้ความพยายามมากเกินไป และมันเป็นจริงลำบาก เพราะชีวิตแต่ละคนก็มีเงื่อนไขปัจจัยที่แตกต่างกัน ทุกวันนี้ชีวิตประจำวันของเราอาจต้องกินอาหารที่เราไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้ หรือบางคนอาจต้องกินยาที่เป็นเคมีเพื่อการรักษาโรคอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเราเลือกได้ เราควรที่จะเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับร่างกายมากที่สุด สำหรับตัวเองคิดว่า ตั้งแต่หัวจรดเท้าทั้งของกินของใช้ อะไรที่ใช้ผลิตภัณฑ์ ออร์แกนิกได้ก็จะพยายามทำ
จุดเริ่มต้นของชื่อ RAWGANIC
สำหรับชื่อ RAWGANIC เราอยากจะสื่อสารสิ่งที่เรียกว่าเป็นปรัชญา แนวคิด แนวทางการใช้ชีวิตที่ปลอดสารพิษให้มากที่สุด ดังนั้นถ้าพูดคำว่า RAWGANIC มันจะไม่ใช่แค่สินค้า เราอยากจะถ่ายทอดแนวคิดนี้ออกไปด้วย คำว่า Raw คือ ผ่านการปรุงแต่งน้อย ไม่เติมแต่งอะไร เป็นธรรมชาติล้วนๆ เพราะการรับสิ่งปรุงแต่งมากเกินไปของชีวิตทุกวันนี้ มันมากเกินไปจนทำร้ายเราทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งถ้าเป็นสารเคมีที่มากเกินไป ร่างกายก็จะแสดงผลออกมา เช่น การระคายเคือง ผด ผื่น ฯลฯ พี่คิดว่าคำว่า Raw มันสื่อออกมาได้มากที่สุด ก็เลยเอามาเชื่อมกับคำว่า Organic ก็เลยลงตัวออกมาเป็น RAWGANIC ค่ะ
จุดแข็งของ RAWGANIC คืออะไร แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกทั่วไปอย่างไร
ถ้าลองเสิร์ชหาคำว่า สบู่ออร์แกนิกล้างหน้าที่มี Certified ออร์แกนิก หรือผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพผิวที่มี Certified ออร์แกนิก ในโลกนี้มีน้อยมาก แทบจะหาไม่ได้เลย โดยเฉพาะในประเทศไทยแทบจะไม่มีเลย เราคิดว่าสินค้าแบบนี้เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคควรได้รับ แล้วก็ควรมีในบ้านเรา
พี่แน่ใจว่าโลกควรจะหมุนกลับมาทางนี้ แต่มันไม่มีผู้เล่นในตลาดที่จะทำเรื่องนี้อย่างเสียงดังพอที่จะไปสู้กับโลกของเคมีได้ คนส่วนใหญ่พอได้ยินคำว่า ออร์แกนิก จะคิดว่าเหมาะกับคนเฉพาะกลุ่มหรือคนป่วย แต่ที่จริงมันเหมาะกับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ด้วยซ้ำ เราเลยไปวางสินค้าบนเชลฟ์รวมอยู่กับผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เป็นเคมี อื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นออร์แกนิก เพื่ออยากให้ RAWGANIC เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง ให้โอกาสคนทั่วไปได้เห็นว่าในการใช้เคมีล้างหน้าทั้งหมดนั้น มีทางเลือกที่เป็นออร์แกนิกหนึ่งเดียวอยู่ในนั้นด้วย
จะรู้ได้อย่างไรว่าผลิตภัณฑ์ที่เราใช้เป็นออร์แกนิกจริงๆ
ดูตรงที่เครื่องหมายรับรองนี่แหละง่ายที่สุด โดยเฉพาะตรา USDA Organic ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองที่องค์กรกลางของสหรัฐอเมริกา ทำหน้าที่เหมือนองค์การอาหารและยา เขาให้สำหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นเกษตรอินทรีย์ ถือว่ามีความเข้มงวดมากในการตรวจสอบ ยิ่งถ้ามีตรา USDA Organic บนแพ็กเกจคู่กับโลโก้แบรนด์แล้ว นั่นหมายความว่า สินค้าชิ้นนั้นมีส่วนผสมที่เป็น Certified Organic อยู่สูงกว่า 95% ขึ้นไป สบู่ที่ได้ตรา USDA Organic นั้นทางองค์กรจะตรวจสอบตั้งแต่ส่วนผสมที่ใช้ เช่น น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก ว่านหางจระเข้ ฯลฯ ต้องได้ตรา USDA Organic ด้วย และส่วนผสมแต่ละตัวกว่าจะได้เครื่องหมายนี้ เขาดูตั้งแต่ดินเลยทีเดียว เวลาตรวจสอบเขาจะไปดูถึงไร่ที่ปลูก ดินต้องปลอดสารพิษตกค้าง 3-5 ปี เมล็ดพันธุ์ต้องไม่มีการตัดต่อทางพันธุกรรม ปุ๋ยก็ต้องเป็นปุ๋ยคอกเท่านั้น และแม้กระทั่งอาหารที่สัตว์กินก็ต้องเป็นออร์แกนิกหรือไม่มีการปนเปื้อน แหล่งน้ำก็ต้องผ่านการตรวจด้วยว่ามีการปนเปื้อนของสารเคมีหรือไม่ รอบๆ ไร่อยู่ห่างจากโรงงานอุตสาหกรรมเท่าไร ฯลฯ เรียกได้ว่ามีการตรวจสอบที่เข้มงวด ละเอียดมากที่สุดในโลก
ทำไมแบรนด์ RAWGANIC จึงเลือกเปิดตัวผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกเป็นสบู่ล้างหน้า
เพราะคนเรารักและดูแลใบหน้ามากที่สุด จึงประโคมสิ่งต่างๆ ลงบนใบหน้ามากมายมหาศาล แถมแต่ละวันยังต้องเจอสารเคมีหรือมลพิษเข้าไปอีก คิดดูสิว่าเรารักหน้าเรามากแต่เราก็ทำร้ายหน้าตัวเองโดยไม่รู้ตัว จนถึงจุดหนึ่งร่างกายมันก็รับไม่ไหว มันถึงเกิดปรากฏการณ์อาการแพ้สารพัด แต่เราก็ต้องขอบคุณความฉลาดของร่างกาย ที่แสดงปฏิกิริยาออกมาเหมือนร่างกายตะโกนออกมาว่า ฉันไม่ชอบแล้ว เพื่อให้เราหยุดและหาทางเยียวยา
เหตุผลที่เริ่มต้นที่สบู่ล้างหน้า เพราะการล้างหน้าเป็นสิ่งที่ทำง่ายที่สุด เป็นกิจวัตรประจำวันของทุกคน เราคิดว่าการจะชักชวนให้คนค่อยๆ ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เข้าใกล้ธรรมชาติทีละนิด ก็ควรเริ่มจากสิ่งที่เรียบง่ายที่สุดก่อน เราเลยเลือกที่จะเร่ิมที่สบู่ล้างหน้า ส่วนผสมที่ใช้เป็นน้ำมันธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ มาจากแหล่งที่ดีที่สุดจากทั่วโลก ที่สำคัญก่อนที่จะปล่อยสบู่ตัวนี้สู่ตลาด ได้มีการส่งเข้าแล็บที่มีชื่อว่า Dermscan Asia เพื่อให้แพทย์ผิวหนังทดสอบกับผู้ใช้จริง เพราะเราอยากให้มั่นใจว่าจะไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้แม้กระทั่งคนที่มีผิวแพ้ง่าย และผู้ที่ทดลองบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า รู้สึกว่าหน้าสะอาด หน้ามันน้อยลง รูขุมขนเล็กลง ผิวเนียนละเอียดขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในพริบตา หากแต่ต้องใช้เวลาให้พลังแห่งธรรมชาติเยียวยา แล้วทุกอย่างจะกลับคืนสู่สมดุล
ความคาดหวังจากงาน
เราเชื่อเรื่องความยั่งยืน เราไม่คิดว่างานนี้จะเป็นงานที่หวือหวาที่สร้างปรากฏการณ์ชั่วขณะแล้วก็หายไป แต่มันจะเป็นสิ่งที่คนจะค่อยๆ เปิดใจ ยอมรับ ลองใช้ บอกต่อและขยายวงกว้างออกไป