วานนี้ (17 กุมภาพันธ์) บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) รายงานผลประกอบการปี 2563 โดยมีกำไรสุทธิ 8,791 ล้านบาท ลดลง 19% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นของ OR ตอบรับในเชิงบวกหลังจากเปิดตลาดเช้านี้ (18 กุมภาพันธ์) โดยเปิดการซื้อขายที่ 30.25 บาท เพิ่มขึ้น 2.5% ก่อนจะพุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดของวัน ที่ระดับ 31.50 บาท
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า กำไรสุทธิของ OR เป็นไปตามประมาณการของเรา แต่มากกว่าที่ตลาดคาด โดยได้รับปัจจัยหนุนจากสินค้าคงคลังจำนวนมาก กำไรหลักลดลง 90% จากไตรมาสก่อน จากค่าการตลาดน้ำมันที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ธุรกิจ Non-Oil ยังคงแข็งแกร่ง เรามองว่าราคาหุ้นที่พุ่งสูงขึ้นได้สะท้อนไปปัจจัยบวกหมดแล้ว
ทั้งนี้ หุ้น OR ซื้อขายที่ P/E ปี 2564 ที่ 29.5 เท่า เทียบกับบริษัทค้าปลีกน้ำมันในภูมิภาคที่ 19 เท่า และบริษัทในภูมิภาคที่ 29 เท่า จึงปรับลดคำแนะนำเป็นขายและประเมินราคาเป้าหมาย 22.00 บาท
ด้าน ปรินทร์ นิกรกิตติโกศล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การตอบรับในเชิงบวกของหุ้น OR น่าจะมาจากผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2563 ซึ่งออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ 1,900 ล้านบาท ขณะที่บริษัททำกำไรได้ราว 2,900 ล้านบาท เนื่องจากกำไรส่วนของสต๊อกน้ำมันประมาณ 2,500 ล้านบาท
ส่วนกำไรทั้งปีที่ลดลงของหุ้น OR เกิดจาก
- ราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์น้ำมันปรับตัวลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก
- ปริมาณการขายผลิตภัณฑ์น้ำมัน โดยเฉพาะกลุ่มเชื้อเพลิงอากาศยานลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
- การล็อกดาวน์ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 ทำให้กลุ่มธุรกิจ Non-Oil ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- ค่าเสื่อมราคาและค่าจัดจำหน่ายที่สูงขึ้นจากการขยายสถานีบริการน้ำมันและร้าน Cafe Amazon
ทั้งนี้ สัดส่วน EBlTDA ของ OR ในปี 2563 มีที่มาจากธุรกิจน้ำมัน 69% ธุรกิจ Non-Oil ภายใต้แบรนด์ Cafe Amazon และ Texas Chicken เป็นสัดส่วน 26% และธุรกิจต่างประเทศ 5%
สำหรับแนวโน้มปี 2564 อิงจาก Bloomberg Consensus คาดกำไรสุทธิที่ 10,213 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อน หนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมันและเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย
โดยเรามองว่า ในระยะกลางการเติบโตของบริษัทจะมาจากการขยายตัวของธุรกิจ Non-Oil และธุรกิจในต่างประเทศกลุ่ม CLMV ซึ่งมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสูง ขณะที่ธุรกิจสถานีบริการน้ำมันในไทยจะยังสามารถเป็นแหล่งรายได้หลัก และสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทต่อไปได้
ส่วนเทคโนโลยี EV จะทำให้บริษัทเผชิญความเสี่ยงจากความต้องการใช้น้ำมันปิโตรเลียมที่จะลดลงในระยะยาว อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถลดความเสี่ยงและเปลี่ยนเป็นการสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจได้จากการติดตั้ง EV Charger ในสถานีบริการของตัวเอง ซึ่งปัจจุบันมีแล้ว 25 แห่ง
ปัจจุบันเรายังไม่มีคำแนะนำสำหรับ OR เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการศึกษาพื้นฐานของบริษัท อย่างไรก็ตาม หากอิงสมมติฐานกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 11,000-13,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น EPS ราว 0.92-1.08 บาท ราคาปัจจุบันจะคิดเป็น P/E ปี 2564 ที่ 27.3-32.1 เท่า ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งที่ซื้อขายบน P/E 16 เท่า และใกล้เคียง P/E เฉลี่ยของกลุ่มค้าปลีกที่ 30 เท่า
สำหรับความเสี่ยงในการเข้าเกณฑ์ Cash Balance ของหุ้น OR เมื่ออิงจากผลประกอบการล่าสุด หุ้น OR จะต้องมีราคาปิดเกิน 30.25 บาท (คิดเป็น P/E ปัจจุบันเกิน 40 เท่า) ถึงจะเข้าเกณฑ์ดังกล่าว
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล