×

จัดการกับ ‘ฆาตกรเงียบ’ ในวันความดันโลหิตสูงโลก

16.05.2025
  • LOADING...

เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ระบบสุขภาพของประเทศไทยก็ได้รับการชื่นชม แต่ ‘ฆาตกรเงียบ’ กำลังพรากชีวิตคนไทย สร้างภาระให้กับสถานพยาบาล และกัดกร่อนอนาคตของประเทศอย่างเงียบๆ ฆาตกรนั้นคือ ‘ความดันโลหิตสูง’ 

 

โรคความดันโลหิตสูง หรือภาวะความดันโลหิตสูง มักถูกเรียกว่า ‘ฆาตกรเงียบ’ ด้วยเหตุผลที่ว่ามันค่อยๆ เกิดขึ้นโดยไม่มีอาการ ทำลายหัวใจ สมอง ไต และหลอดเลือดอย่างเงียบๆ มันไม่เพียงแต่ทำร้ายปัจเจกบุคคลและครอบครัว แต่ยังสร้างภาระต่อระบบสุขภาพของประเทศจากค่ารักษาพยาบาล และก่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคการผลิตเนื่องจากผู้ป่วยจะทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ขาดงาน และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

 

ภาระของโรคความดันโลหิตสูงในประเทศไทยมีมหาศาลและกำลังเพิ่มขึ้น 1 ใน 4 ของประชากรไทยวัยผู้ใหญ่มีภาวะความดันโลหิตสูง และ 3 ใน 4 ของผู้ที่มีความดันโลหิตสูงไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ ทำให้พวกเขามีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต และโรคสมองเสื่อม

 

อย่างไรก็ตาม ความดันโลหิตสูงสามารถป้องกันและควบคุมได้ ดังที่ประเทศอื่นๆ ได้ทำสำเร็จมาแล้ว

 

เมื่อ 25 ปีที่แล้วประเทศไทยและเกาหลีใต้เริ่มต้นที่จุดเดียวกัน ทั้งสองประเทศมีอัตราผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูงที่คุมความดันโลหิตได้เพียงร้อยละ 8 แต่วันนี้ ประเทศเกาหลีใต้มีอัตราผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมได้สูงที่สุดในโลกที่ร้อยละ 62 ในขณะที่ประเทศไทยตามหลังอยู่ที่ร้อยละ 23 ทั้งนี้ ประเทศเกาหลีใต้สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างน่าทึ่งถึงร้อยละ 83 ในทางตรงกันข้าม โรคหลอดเลือดสมองยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ในประเทศไทย ซึ่งกว่าร้อยละ 58 ของโรคหลอดเลือดสมองนั้นเกิดจากความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากนั้นประเทศอื่นๆ เช่น แคนาดา คอสตาริกา ก็ได้ดำเนินมาตรการควบคุมความดันโลหิตสูงระดับชาติที่ครอบคลุม ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งคือ ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงควบคุมความดันโลหิตได้เพิ่มขึ้นถึงกว่าร้อยละ 50

 

ความสูญเสียด้านงบประมาณจากการที่ประชากรส่วนมากไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตสูงได้นั้นมีความรุนแรง การรักษาภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง เช่น การฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและอัมพาต การผ่าตัดหัวใจ และการฟอกไตตลอดชีวิตนั้น ล้วนแต่มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ซึ่งในปัจจุบัน ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทยแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ แต่นี้ยังไม่รวมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการสูญเสียผลิตภาพ ภาระจากการดูแลผู้ป่วย และความพิการระยะยาวซึ่งมีมูลค่ามหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจาก 1 ใน 3 ของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิตสูงนั้นเกิดขึ้นในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 70 ปี จึงมีคำถามว่า ทำไมประเทศที่ระบบสุขภาพมีความเข้มแข็งและภูมิใจในระบบของตนจึงปล่อยให้โรคที่สามารถป้องกันและรักษาได้สร้างความสูญเสียต่อประเทศเช่นนี้ 

 

ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการบริการสุขภาพที่แข็งแรง มีเครือข่ายการดูแลสุขภาพขั้นปฐมภูมิที่เข้มแข็งที่สุดในภูมิภาค ประชากรทุกคนเข้าถึงบริการสุขภาพโดยไม่มีค่าใช้จ่าย มีระบบข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ที่แข็งแกร่ง และบุคลากรด้านสุขภาพที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี ประเทศไทยมีองค์ประกอบต่างๆ ทั้งหมดที่จำเป็นในการแก้ไขวิกฤตความดันโลหิตสูง แต่ไม่ได้ถูกใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ จากประสบการณ์ในประเทศเกาหลีใต้และประเทศอื่นๆ แสดงให้เราเห็นว่าเป็นไปได้ มีบทเรียนสำคัญ 3 ประการที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากความสำเร็จของพวกเขา

 

ประการแรก ประเทศไทยควรมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มอัตราการควบคุมความดันโลหิตจากระดับปัจจุบันที่ร้อยละ 23 เป็นอย่างน้อยที่ร้อยละ 50 ในขณะที่การวัดความดันโลหิตนั้นเป็นบริการพื้นฐานสำหรับผู้ป่วยทุกคนที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลอยู่แล้ว แต่ผู้ป่วยหลายรายที่มีภาวะความดันโลหิตสูง ไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยเพื่อขึ้นทะเบียนในระบบและกำลังหลุดรอดไป อาสาสมัครสาธารณสุขชุมชนกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศไทยซึ่งช่วยสนับสนุนการวัดความดันโลหิตในชุมชนและสถานพยาบาลอยู่แล้วน่าจะสามารถช่วยเพิ่มการติดตามผู้ที่มีความดันโลหิตสูงให้เข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาเพื่อการดูแลอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน มาตรการสร้างแรงจูงใจแก่สถานพยาบาลที่มีผลการดำเนินงานควบคุมความดันโลหิตได้สำเร็จเพิ่มมากขึ้นควรได้รับการพิจารณา

 

ประการที่สอง การวิจัยและประสบการณ์ในประเทศต่างๆ แสดงให้เห็นว่าแนวทางการรักษาโรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ซับซ้อน และการใช้ยาลดความดันโลหิตสูตรผสมในเม็ดเดียวช่วยให้ผู้ป่วยรับประทานยาได้ต่อเนื่องและสามารถควบคุมความดันโลหิตได้ดีขึ้น หากผู้ป่วยต้องกินยาจำนวนเม็ดที่น้อยลงพวกเขามักจะมีแนวโน้มที่จะอยู่ในการรักษามากขึ้น สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทยแนะนำการรักษาด้วยยาสูตรผสมซึ่งรวมยาสองชนิดเป็นยาเม็ดเดียว แม้ว่ายาเหล่านี้อาจมีราคาแพงกว่า แต่ประโยชน์ที่ได้รับมีมากกว่าค่าใช้จ่าย

 

ประการที่สาม การป้องกันนั้นมีความสำคัญพอๆ กับการวินิจฉัยและการรักษา ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลกในการกำจัดไขมันทรานส์ออกจากระบบอาหาร และความพยายามในการจัดการโรคอ้วน ปัจจุบันประเทศไทยกำลังพัฒนานโยบายเพื่อการป้องกันโรคที่มีความสำคัญและน่ายกย่อง คือการควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก และภาษีอาหารที่มีโซเดียมสูง ซึ่งเป็นประเทศแรกๆ ในภูมิภาคที่ริเริ่มดำเนินการนโยบายเหล่านี้ ในลำดับต่อไป ประเทศไทยอาจพิจารณาส่งเสริมเครื่องปรุงที่มีโซเดียมต่ำซึ่งใช้โพแทสเซียมทดแทน ที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยลดความดันโลหิตในระดับประชากร ทั้งนี้ มาตรการด้านสาธารณสุขเหล่านี้จะช่วยให้ประชาชนปรับตัวสู่ทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยป้องกันและควบคุมความดันโลหิตสูง

 

ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านสาธารณสุขจากผลงานต่างๆ ที่น่าภาคภูมิใจในอดีตจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่การลดอัตราการเสียชีวิตในเด็ก, การบุกเบิกการป้องกันเอชไอวี ไปจนถึงการออกกฎหมายควบคุมยาสูบที่เข้มงวดที่สุดในโลก ซึ่งประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและการเป็นผู้นำด้านสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง

 

แต่วันนี้ โรคความดันโลหิตสูงซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เป็นฆาตกรรายใหญ่ของประเทศไทย ยังไม่ได้ถูกจัดการอย่างเร่งด่วนอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งๆ ที่วิธีการและเครื่องมือในการจัดการนั้นมีพร้อม ขาดเพียงแต่การลงมือทำในทันที 

 

เนื่องในวันความดันโลหิตสูงโลก (World Hypertension Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 17 พฤษภาคมของทุกปี เราขอเรียกร้องให้ประเทศไทยดำเนินการอย่างเข้มแข็งและมุ่งมั่นเพื่อควบคุมโรคความดันโลหิตสูง หยุดฆาตกรเงียบก่อนที่มันจะคร่าชีวิตคนไทยไปมากกว่านี้

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising