ส้มอร่อยอาจไม่ใช่ส้มที่หวาน แต่ต้องเจือรสเปรี้ยวปะแล่มให้พอชื่นใจ และเมื่อชีวิตหยิบยื่นผลส้มมาให้ เราจะไม่มีวันรู้จนกว่าจะได้ลองกินมัน นี่คือความรู้สึกหลังจากดู 4 ตอนแรกของ When Life Gives You Tangerines ซีรีส์เรื่องใหม่ทาง Netflix ที่ได้สองนักแสดงดังอย่าง ไอยู และ พัคโบกอม มาร่วมแสดง แค่เป็นซีรีส์รักสดใสก็น่าจะคว้าใจคนดูได้แล้ว แต่เพราะอยู่ในมือของผู้กำกับ คิมวอนซอก จาก My Mister ร่วมกับนักเขียนบท อิมซังชุน จาก When the Camellia Blooms ซีรีส์เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องรักของคนธรรมดาที่สอดแทรกความดราม่า ละมุนหัวใจเหมือนจดหมายรักส่งต่อระหว่างรุ่นสู่รุ่น
When Life Gives You Tangerines เล่าเรื่องราวความรักและชีวิตผ่านฤดูกาลทั้ง 4 ฤดูของ แอซุน (ไอยู) สาวน้อยอาภัพบนเกาะเชจู จอนกวังรเย (ยอมฮเยรัน) แม่ของเธอเป็นแฮนยอ หรือนักดำน้ำหญิงแห่งเกาะเชจู ผู้ไม่ยอมให้ลูกสาวมีชีวิตแบบเดียวกับเธอ จึงพยายามทำตัวเหินห่าง และให้แอซุนได้อยู่กับครอบครัวของอดีตสามีผู้ล่วงลับที่ฐานะดีกว่าจะได้เรียนสูงๆ
แอซุนเป็นคนเฉลียวฉลาด ชอบเขียนบทกวี และมีหัวขบถ ตั้งแต่เด็กจนโต กวานชิก (พัคโบกอม) หลงรักแอซุนมาตลอด เขาเป็นเด็กหนุ่มซื่อๆ ฐานะดี และเป็นนักกีฬาโรงเรียน แอซุนพยายามปฏิเสธกวานชิกมาตลอดเพราะใฝ่ฝันจะได้ออกไปใช้ชีวิตนอกเกาะเชจู จนกระทั่งทั้งคู่เติบโต ด้วยฮอร์โมนที่พลุ่งพล่านทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล
จากบทสัมภาษณ์ผู้กำกับในงานแถลงข่าวนี่คือเรื่องราวที่เป็นเหมือนของขวัญจากคนต่างเจเนอเรชันมอบให้แก่กัน และชื่อเรื่องในภาษาเกาหลีก็มีความหมายในวัฒนธรรมท้องถิ่นของเกาะเชจู ซึ่งส้มแทงเจอรีนใช้แทนคำขอบคุณสำหรับการทำงานหนัก ผ่านบทชีวิตของคนรุ่นพ่อแม่ที่เติบโตอย่างยากลำบากหลังยุคสงครามเกาหลี
ซีรีส์เปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เหมือนวัยแรกแย้มของทั้งสองหนุ่มสาว เนื้อหาเดินไปแบบเรียบๆ แต่ไม่ง่าย ฉายภาพการถูกกดทับของผู้หญิง ตั้งแต่รุ่นแม่ของแอซุนผู้จำใจทำอาชีพนักดำน้ำรายได้น้อยนิดเพื่อดูแลครอบครัว ขณะที่ผู้ชายบนเกาะแลดูไม่เอาไหนแต่ได้สิทธิพิเศษ แม้แต่อาหารก็ได้กินของที่ดีกว่า อาชีพแฮนยอจึงเป็นมากกว่าแค่อาชีพแต่เหมือนการกดทับความเป็นหญิงให้อยู่ใต้น้ำจนแทบไม่มีโอกาสหายใจ ก็ไม่แปลกที่จอนกวังรเยจะไม่ยอมให้ลูกสาวมีชีวิตแบบเดียวกับเธอ
ชีวิตของแอซุนดีกว่าแม่แต่ก็ยังหนีไม่พ้นความยากลำบาก แม้จะเป็นเด็กหัวดี แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อค่านิยมที่ว่าเด็กผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนสูงๆ การดิ้นรนไปให้ถึงมหาวิทยาลัยจึงแทบเป็นไปไม่ได้ในชีวิตของเธอ จึงส่งต่อความฝันไปยังคนรุ่นต่อไปนั่นก็คือ กึมมยอง ลูกสาวของเธอ
ขณะที่รุ่นลูกดูเหมือนจะสานฝันของคนรุ่นก่อนได้ แต่ก็ต้องเผชิญการกดทับจากผู้หญิงด้วยกันในฐานะว่าที่แม่ผัวลูกสะใภ้ แบบเดียวกับที่แอซุนเจอจากแม่สามี และแม่สามีเจอจากย่าของสามีอีกที ซึ่งดูเหมือนซีรีส์อยากให้เห็นความซับซ้อนของปัญหานี้
อย่างไรก็ตาม ซีรีส์ยังมอบความหวานของชีวิตด้วยรักแรกระหว่างแอซุนกับกวางชิก ในบรรยากาศฟุ้งฝันให้คนดูได้จิ้นได้ฟินกับการร่วมงานครั้งแรกของนักแสดงระดับบิ๊ก แต่ผ่านไปไม่นานความฝันก็สลายเพราะชีวิตไม่มีอะไรได้มาฟรี
แม้ 4 อีพีแรกเรื่องราวจะเน้นเรื่องของผู้หญิงแต่ทิศทางความน่าจะเป็นในฤดูถัดไปน่าจะสอดแทรกการแบกรับบทบาทความเป็นชายในสังคมเกาหลีอยู่เหมือนกัน อย่างที่ได้เห็นความกดดันของกวางชิกในฐานะหัวหน้าครอบครัว จนต้องทิ้งความฝันและอนาคตที่ดี และเดาว่าในฤดูถัดๆ ไปน่าจะพูดว่าด้วยเรื่องความต่างของเจเนอเรชันผ่านชีวิตลูกๆ ของทั้งคู่ อย่างที่ผู้กำกับว่าไว้ว่าต้องการทลายกำแพงเรื่องเพศและเจเนอเรชันผ่านซีรีส์เรื่องนี้
ต้องยอมรับว่าการร่วมงานกันของผู้กำกับและนักเขียนบทสองคนนี้สร้างสรรค์เรื่องรักของคนธรรมดาได้อย่างน่าสนใจ คล้ายกับการได้นั่งฟังเรื่องรักของพ่อแม่เหมือนนวนิยาย เล่าเรื่องเรียบง่ายแต่ลุ่มลึกในสไตล์ของผู้กำกับ ส่วนมือเขียนบทก็เก่งเรื่องการสร้างคาแรกเตอร์ที่มีเสน่ห์ทั้งตัวแอซุนหญิงแกร่ง หัวขบถที่แปรเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงวัย และกวางชิก ต้าวหล่อแห่งเกาะเชจูใสซื่อในสไตล์ผู้ชายบ้านๆ จนอยากมีกวางชิกในชีวิตสักคน
เพราะบทที่ดีจึงเป็นสนามให้นักแสดงใช้สามารถเต็มที่ทั้งไอยูในบทแอซุนตอนสาว และกึมมยองในบทลูกสาว โดยเฉพาะบทแอซุนที่ชีวิตและเวลาทำให้คาแรกเตอร์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ยังมีแววตาของเด็กผู้หญิงคนเดิมอยู่ ส่วนพัคโบกอมก็สวมชีวิตของกวางชิกได้เป็นอย่างดี ทั้งการแสดง สีหน้า ท่าทางคือผู้ชายจ๋องๆ แต่มีวิญญาณนักสู้ จนบางครั้งก็ลืมความหล่อแต่อยากเอาใจช่วยในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือนักแสดงรุ่นใหญ่ทั้งบทจอนกวังรเยของยอมฮเยรันในบทแม่ของแอซุน รวมถึง มุนโซรี และ พัคแฮจุน ในบทแอซุนและกวางชิกในวัยผู้ใหญ่ ที่ทำเอาน้ำตารื้นเลยทีเดียว
When Life Gives You Tangerines ตั้งใจปล่อยออกมาสัปดาห์ละ 4 ตอนแทนที่จะปล่อยรวดเดียวแบบซีรีส์ของ Netflix เรื่องอื่นๆ ให้คนดูได้ละเลียดเรื่องราวชีวิตของตัวละครสะท้อนกลับไปที่ตัวเอง ซึ่งเชื่อแน่ว่าน่าจะมีประเด็นให้พูดถึงอีกมากในอีพีถัดๆ ไป