×

ไม่ใช่แค่โชคหรือพรสวรรค์ เบื้องหลังเรซมหัศจรรย์ของ แม็กซ์ แวร์สแตพเพน

04.11.2024
  • LOADING...

“มันไม่ใช่พรสวรรค์หรอก เขาก็แค่โชคดี” แลนโด นอร์ริส ให้ความเห็นถึงการเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกของ แม็กซ์ แวร์สแตพเพน ในรถแข่ง Formula One (F1) รายการเซาเปาโลกรังด์ปรีซ์ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

 

ไอร์ตัน เซนนา เป็นพยาน! หากใครที่ได้ชมการแข่งขันจริงๆ แล้วน่าจะมีจำนวนไม่น้อยที่คิดเห็นตรงกันว่า จริงอยู่ที่ ‘ดวง’ ของแชมป์โลก 3 สมัยชาวเนเธอร์แลนด์มีส่วนส่งเสริมอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องของฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและ ‘ธงแดง’ ที่กลายเป็นจุดพลิกผันสำคัญของการแข่งขันที่ไม่ได้สำคัญแค่กับเรซนี้ แต่หมายถึงการแข่งขันกันระหว่างแวร์สแตพเพนกับนอร์ริสในฤดูกาลนี้ด้วย

 

แต่การเริ่มต้นจาก P17 มาสู่การคว้าแชมป์รายการนี้ได้ คือความมหัศจรรย์ที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคนที่ชวนให้คิดถึง ‘Lap of the Gods’ ในตำนานของเซนนาผู้ล่วงลับ และมีการ Tribute ให้เป็นพิเศษด้วยรถแม็คลาเรนคันที่เขาเคยควบคว้าแชมป์โลกเมื่อปี 1990

 

โดยที่ในความมหัศจรรย์ของแวร์สแตพเพนไม่ได้มีแค่เรื่องของดวงเท่านั้น แต่ประกอบไปด้วยเหตุผลหลายอย่างมากมายกว่านั้น

 

แต่ก่อนจะไปไกล ขอเท้าความเล็กน้อยเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นสำหรับคนที่อาจจะไม่ได้ติดตามการแข่งขัน Formula One หรือ F1 อย่างใกล้ชิดนัก

 

ขณะที่การแข่งขันเดินทางมาถึงช่วงของโค้งสุดท้ายของฤดูกาล 2024 แล้ว โดย 2 คนที่มีโอกาสจะลุ้นตำแหน่งแชมป์โลกในปีนี้แบบจริงจังคือ แม็กซ์ แวร์สแตพเพน แชมป์โลก 3 สมัยติดต่อกันจากทีมเรดบูล เรซซิง ซึ่งแม้ว่าจะประสบปัญหามากมาย แต่ก็ยังมีคะแนนนำ 

 

คนที่พยายามไล่ตามมาอย่างเงียบๆ และเริ่มมีลุ้นจริงจังคือ แลนโด นอร์ริส นักขับอัจฉริยะชาวอังกฤษจากทีมแม็คลาเรน ผู้เป็นเพื่อนสนิทและเป็นมิตรที่ดีของแวร์สแตพเพนมาโดยตลอด โดยระยะห่างระหว่างทั้งสองคนก่อนลงสนามในรายการที่บราซิลเหลือแค่ 47 แต้มเท่านั้น (และเหลือแค่ 44 แต้มหลังรอบสปรินต์เรซ) 

 

ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญมองว่า สถานการณ์นั้นถึงแวร์สแตพเพนจะได้เปรียบ แต่ภาพรวมแล้วมีโอกาสไม่น้อยที่นอร์ริสจะแซงหน้าคว้าแชมป์โลกมาครองได้ เพราะฟอร์มการขับและรถของแม็คลาเรนนั้นร้อนแรงไม่ต่างจากสีรถที่เหมือนแสงสีส้มของดวงอาทิตย์เลยทีเดียว

 

ดังนั้นรายการเซาเปาโลกรังด์ปรีซ์จึงมีความหมายและความสำคัญอย่างมาก ไม่เฉพาะสำหรับนอร์ริสผู้ปรารถนาจะเป็นผู้ชนะให้ได้ แต่รวมถึงแวร์สแตพเพนที่รู้ตัวว่าหากเขาพลาดอีก ทุกอย่างอาจสายเกินไปสำหรับการกลับมา

 

แล้วเกิดอะไรขึ้นในสนามที่เป็นบ้านของ ไอร์ตัน เซนนา ตำนานยอดนักขับชาวบราซิลผู้ล่วงลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว?

 

แวร์สแตพเพนและทีมงานเบื้องหลังได้ดีใจด้วยกันอีกครั้ง

 

Mad Max Return!

 

แม็กซ์ แวร์สแตพเพน ออกสตาร์ทในรายการเซาเปาโลจีพีด้วยตำแหน่งไกลลิบถึงกริดที่ 17

 

การออกสตาร์ทไกลขนาดนี้เป็นผลจากรอบควอลิฟายที่เข้าขั้นหายนะ รวมถึงการตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องยนต์ที่ทำให้เขาถูกลงโทษปรับ 5 กริดนั่นเอง

 

ในความรู้สึกของแชมป์โลกชาวเนเธอร์แลนด์ที่ไม่ได้แชมป์รายการใดเลยนับจากสแปนิชกรังด์ปรีซ์เมื่อ 11 สนามที่แล้ว เรื่องนี้สั่นคลอนความรู้สึกของเขาอย่างมาก เพราะนอร์ริสและแม็คลาเรนแรงไม่หยุดจริงๆ และดูมีโอกาสหากพวกเขาเข้าเส้นชัยได้ก่อนใครในรายการนี้ บางทีตำแหน่งแชมป์โลกคนใหม่อาจไปอยู่ในมือของเพื่อนแทน

 

อย่างไรก็ดี เมื่อถึงเวลาทำหน้าที่ในสนาม แวร์สแตพเพนระเบิดความรู้สึกผิดหวังจากอะไรก็ตามที่ไม่เป็นใจของตัวเองออกมา ด้วยการออกสตาร์ทอย่างร้อนแรงในการไล่แซงหน้ารถถึง 6 อันดับตั้งแต่รอบแรก รวมถึงการแซง ลูอิส แฮมิลตัน แห่งเมอร์เซเดส และไล่เบียด ชาร์ลส์ เลอแคลร์ ของทีมเฟอร์รารี ตั้งแต่รอบที่ 12

 

โดยที่ภายใต้การขับขี่ที่เร่าร้อนคล้ายคนบ้า เบื้องหลังคือการควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองที่ข่มทุกอย่างไว้ในใจ และลงไปทำงานของตัวเองในสนามแข่งพอ

 

เป็นทักษะการควบคุมอารมณ์ที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้พรสวรรค์ของ Mad Max ผู้ยอมรับว่าอารมณ์ของเขาแปรปรวนอย่างหนักก่อนการแข่ง ถึงขั้น ‘แทบจะพังโรงรถของทีม’ เลยทีเดียว

 

การตัดสินใจเข้าพิตเปลี่ยนยางของ แลนโด นอร์ริส กลายเป็นจังหวะนรกที่ทำให้ทุกอย่างพังหมด

 

แผนและการเดิมพัน

 

อย่างไรก็ดี ลำพังเพียงฝีมือและพรสวรรค์ของแวร์สแตพเพนอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ สิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากไม่น้อยไปกว่ากันคือการวางกลยุทธ์ในการแข่ง

 

โดยเฉพาะในช่วงสำคัญที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของการแข่งขัน เมื่อฝนเริ่มตกลงมาอย่างหนักอีกครั้ง ซึ่งทำให้กลุ่มผู้นำอย่าง จอร์จ รัสเซลล์ จากเมอร์เซเดส ที่ขึ้นนำอยู่ในขณะนั้น และนอร์ริสถูกเรียกตัวกลับเข้าพิตเพื่อเปลี่ยนยางชุดใหม่แทนในช่วงที่มี Virtual Safety Car ในรอบที่ 29

 

แต่แวร์สแตพเพนไม่ได้รับการเรียกจากทีมเรดบูลให้กลับเข้าพิตแต่อย่างใด ทำให้จากอันดับที่ 5 เขาสามารถแซงหน้ารถได้อีก 3 คัน ซึ่งรวมถึงนอร์ริสด้วย

 

เรื่องนี้มีความเสี่ยงในตัว เพราะขณะนั้นรถของแวร์สแตพเพนซึ่งใช้ยาง Intermediate วิ่งมาไกลเช่นกัน ซึ่งหากถึงจังหวะจะต้องเปลี่ยนยางก็หมายถึงอันดับที่แซงมาได้จะถูกแซงกลับคืนโดยทั้งรัสเซลล์และนอร์ริส และอาจหมายถึงความหวังหลุดลอยไปด้วย

 

แต่ลึกๆ ในใจของทีมเรดบูลคิดว่าสภาพสนามแบบนี้มีโอกาสที่จะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ เช่นเดียวกับแวร์สแตพเพนที่ยอมรับในภายหลังว่าคิดอยู่ในใจลึกๆ เสมอว่า “ในสภาพสนามเปียก โอกาสจะเกิดเรื่องบ้าบอมีขึ้นได้เสมอ”

 

แล้วเรื่องบ้าบอก็เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อรถของ ฟรังโก โคลาปินโต เสียหลักและชนเข้าอย่างจัง ทำให้มี Red Flag ต้องหยุดการแข่งขันเป็นการชั่วคราว

 

นั่นหมายถึงแวร์สแตพเพน – และ เซบาสเตียน โอคอน จากอัลไพน์ ที่เป็นผู้นำในเวลานั้น – ได้โอกาสในการเปลี่ยนยางฟรีๆ โดยที่ไม่เสียทั้งเวลาและอันดับ 

 

แม้นอร์ริสจะบอกว่าเป็นแค่เรื่องของดวง แต่มันเป็นการเดิมพันสุดคุ้มค่าที่ได้มาด้วยความใจใหญ่ของทีมเรดบูลโดยแท้ 

 

และนี่คือ ‘ทีมเวิร์ก’ ของทีมแชมป์โลกที่กลับมาได้ทันเวลาพอดี หลังจากที่ระส่ำระสายจากคดีอื้อฉาวของ คริสเตียน ฮอร์เนอร์ มาตลอดทั้งปี

 

จังหวะที่แวร์สแตพเพนแซงโอคอนเพื่อขึ้นเป็นผู้นำ

 

Ready to go!

 

ความแตกต่างของคนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ยังไม่เคยประสบความสำเร็จ ไม่ได้อยู่แค่เรื่องของฝีไม้ลายมือหรือจังหวะชะตาชีวิต

 

สิ่งสำคัญที่มากกว่าคือ ‘ความพร้อม’ ที่จะกระชากโอกาสที่มองเห็นหรือไม่

 

และสำหรับแวร์สแตพเพน นี่เป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตที่เหมือนบุญจะพาวาสนาจะส่งให้เขาโดยเฉพาะ (ครั้งแรกคือเรซอื้อฉาวที่ทำให้เขาได้เป็นแชมป์โลกสมัยแรกในการดวลกับ ลูอิส แฮมิลตัน เมื่อปี 2021) ซึ่งแชมป์โลกรู้ว่าตอนนี้คือโอกาสที่ไม่เพียงแค่จะจบด้วยการขึ้นโพเดียม

 

เขามีโอกาสจะเป็นแชมป์ด้วย ขอเพียงแค่การแซงโอคอนขึ้นหน้าให้ได้เท่านั้น

 

เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเลยสำหรับแวร์สแตพเพน ซึ่งฉวยจังหวะหลังจากที่กลับมาเริ่มแข่งขันใหม่ได้ไม่นาน เร่งเครื่องแซงโอคอนเพื่อกลายเป็นผู้นำคนใหม่ในการแข่งทันที โดยไม่ต้องอดทนรอคอยจังหวะอะไรให้เสียเวลา

 

นั่นหมายถึงแวร์สแตพเพนที่เริ่มจาก P17 ซิ่งมาถึง P1 ได้สำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ!

 

โดยที่เมื่อได้ขึ้นนำแล้ว เขาก็ไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีกแล้ว

 

ลูอิส แฮมิลตัน กับรถแม็คลาเรน MP4/5B ที่เคยพา ไอร์ตัน เซนนา คว้าแชมป์โลกในปี 1990

 

การซิ่งระดับตำนาน

 

องค์ประกอบหนึ่งที่มีผลต่อการแข่งในภาพรวมอย่างมากคือสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก

 

แต่สำหรับแวร์สแตพเพนแล้ว สายฝนและถนนที่เปียกคือ ‘เพื่อนรัก’

 

“ผมมีความรู้สึกดีว่าผมน่าจะแซงขึ้นมาได้ ผมรู้สึกผ่อนคลาย ผมขับในสนามที่เปียกกับพ่อและเพื่อนๆ ของผมมาตั้งแต่เด็กแล้ว” แม็กซ์บอก

 

แต่ในเบื้องหลังแล้วคือการฝึกซ้อมอย่างหนักในการขับขี่ให้ได้ทุกสภาพแวดล้อมและทุกสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งรางวัลของการฝึกซ้อมรวมถึงประสบการณ์จากการแข่งขันที่ผ่านมา หลอมรวมทำให้แวร์สแตพเพนขับได้อย่างสมบูรณ์แบบที่เซาเปาโล

 

เป็นการขับขี่ระดับมาสเตอร์คลาสที่เข้าขั้นตำนานเรื่องหนึ่งได้เลย

 

เรื่องนี้ชวนให้คิดถึงตำนาน ‘Lap of the Gods’ ของ ไอร์ตัน เซนนา ในการแข่งขันรายการยูโรเปียนกรังด์ปรีซ์เมื่อปี 1993 ที่สนามโดนิงตันพาร์ก ในเมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ – ซึ่งจัดการแข่งขัน F1 เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวด้วย 

 

ในครั้งนั้นตำนานผู้เป็นแรงบันดาลใจของนักขับ F1 มากมายในยุคต่อมาโชว์ลีลามหัศจรรย์แซงสุดยอดนักขับอย่าง มิคาเอล ชูมัคเกอร์, เดมอน ฮิลล์ และ อาแล็ง พรอสต์ ได้ทั้งหมดในรอบแรกแค่รอบเดียวภายใต้สภาพอากาศที่เลวร้าย ฝนตกลงมาอย่างหนัก ก่อนที่จะซิ่งสายฟ้าเข้าเส้นชัยโดยทิ้งห่างอันดับ 2 อย่างพรอสต์ด้วยเวลารวมถึง 1 นาที 23 วินาที

 

แน่นอนว่าเซนนามีพรสวรรค์ แต่มันก็มีการฝึกฝนหนัก การตัดสินใจ และความกล้าหาญสุดระห่ำรวมอยู่ด้วยในนั้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติของสุดยอดนักขับระดับตำนาน

 

ก่อนที่การแข่งจะเริ่ม มีการจัดพิธีรำลึกครบรอบ 30 ปีของการจากไปก่อนวัยอันควรของแรงบันดาลใจแห่ง F1 โดย ลูอิส แฮมิลตัน เป็นผู้ขับรถแม็คลาเรน MP4/5B ซึ่งเป็นผลงานการออกแบบของ เอเดรียน นิวอี นักออกแบบรถระดับตำนาน ซึ่งเป็นผู้ออกแบบรถ RB20 ของแวร์สแตพเพนด้วยเช่นกัน

 

การซิ่งมหัศจรรย์ของแวร์สแตพเพน – อีกหนึ่งนักขับพรสวรรค์ที่รอได้รับการยกย่องอย่างแท้จริง – ก็อาจนับเป็นหนึ่งในการ Tribute ให้แก่เซนนาในอีกทางด้วยเช่นกัน

 

สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของหนึ่งในการแข่งที่น่าเหลือเชื่อ ไม่ใช่แค่ดวงหรือพรสวรรค์ที่ทำให้แวร์สแตพเพนกลับมามีความหวังเต็มเปี่ยมที่จะรักษาตำแหน่งแชมป์โลกของตัวเองให้ได้ เพราะมีคะแนนรวมทิ้งห่างนอร์ริสเป็น 62 แต้ม โดยที่เหลืออีก 86 แต้มให้เก็บเท่านั้นใน 3 สนามที่เหลือ

 

เรซนี้ยังเป็นการคว้าแชมป์รายการที่ 62 ของเขา – ตามหลังแค่ชูมัคเกอร์ (97) และแฮมิลตัน (105) เท่านั้น

 

สำหรับแวร์สแตพเพน เมื่อคิดถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบราซิลสัปดาห์นี้แล้ว นี่จึงแชมป์ที่มีความหมายที่สุดอย่างไม่มีอะไรต้องสงสัย

 

เช่นเดียวกับใครหลายคนที่ได้ดูการแข่งขัน นี่เป็นหนึ่งในเรซที่สุดยอดที่ควรค่าจะเก็บใส่กล่องความทรงจำไว้ให้คิดถึงในวันหน้า

 


 

บทความที่เกี่ยวข้อง:

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X