×

จากความไม่แน่นอนสู่ความมั่นใจ: บทเรียนจากซีอีโอทั่วโลกสู่ธุรกิจไทย

13.11.2025
  • LOADING...
จากความไม่แน่นอนสู่ความมั่นใจ: บทเรียนจาก ซีอีโอ ทั่วโลก สู่ ธุรกิจไทย

ในปี 2568 โลกธุรกิจเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงที่เข้มข้นยิ่งขึ้น ทั้งจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ที่กำลังขยายบทบาทจากเครื่องมือเสริมประสิทธิภาพ ไปสู่ ปัจจัยขับเคลื่อนหลักของกลยุทธ์ธุรกิจ

 

รายงาน KPMG 2025 Global CEO Outlook ชี้ว่า กว่าร้อยละ 71 ของผู้นำองค์กรเพิ่มการลงทุนใน AI และบุคลากร โดยพวกเขาคาดว่าจะเห็นผลลัพธ์ภายใน 1-3 ปี ขณะที่ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโลกอาจลดลง แต่ความเชื่อมั่นในศักยภาพขององค์กรกลับยังแข็งแกร่งกว่าที่ผ่านมา สำหรับผม สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือแนวโน้มของ ‘ผู้นำที่ลงมือเร็วกว่าความเปลี่ยนแปลง’ เพราะพวกเขาเข้าใจดีว่าความได้เปรียบในอนาคตไม่ได้มาจากการรอความชัดเจน แต่มาจากการ ‘ตัดสินใจบนข้อมูลและวิสัยทัศน์’ ที่ถูกต้องในวันนี้

 

ผู้นำที่มั่นใจท่ามกลางความไม่แน่นอน

 

แม้ในปีนี้ผู้นำองค์กรทั่วโลกจะมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโลกลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 68 จากร้อยละ 72 เมื่อปีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ซีอีโอส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 79 ยังคงมีมุมมองแง่บวกต่อศักยภาพขององค์กรตนเอง

 

ตัวเลขนี้สะท้อนให้เราเห็นว่า ความมั่นใจของผู้นำไม่ได้ผูกติดอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจ แต่เกิดจากความสามารถในการปรับตัวและการวางกลยุทธ์อย่างยืดหยุ่น ซีอีโอถึงร้อยละ 72 ได้ปรับกลยุทธ์การเติบโตเพื่อตอบรับกับความท้าทายใหม่ๆ ข้อมูลจากรายงานยังชี้ว่า ผู้นำในภาคโครงสร้างพื้นฐานและการขนส่ง การเงิน และเทคโนโลยี คือกลุ่มที่มีความเชื่อมั่นสูงสุดต่อการเติบโตในอนาคต จะสังเกตได้ว่าธุรกิจเหล่านี้มีจุดร่วมคือ การมองเห็นโอกาสจากการใช้เทคโนโลยีและการปรับโมเดลธุรกิจเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนในระยะสั้น สะท้อนว่าความเชื่อมั่นของผู้นำไม่ได้เกิดจากความคาดหวัง แต่จากการมองเห็นการลงมือที่ให้ผลลัพธ์จริง

 

ในความเห็นของผม นี่คือสัญญาณของความมั่นใจเชิงรุกที่สะท้อนว่าผู้นำจำนวนมากไม่ได้รอให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่เลือกที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าและจัดการความเสี่ยงด้วยการ ‘ลงทุนกับอนาคต’ ผ่านสามเสาหลักสำคัญ ได้แก่ เทคโนโลยี บุคลากร และความยั่งยืน ผมจึงอยากขยายความเพิ่มเติมในแต่ละประเด็น เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาตรวจสอบความพร้อมของตนเอง เพื่อวางแผนรับมือกับความไม่แน่นอนต่างๆ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในระยะยาว

 

AI: จากเทคโนโลยีเสริมสู่กลไกหลักของธุรกิจ

 

AI คือหนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความสำคัญมากที่สุดในการลงทุนกับอนาคต ผลสำรวจชี้ว่าร้อยละ 71 ของซีอีโอให้ความสำคัญกับการลงทุนด้าน AI สูงที่สุด และร้อยละ 69 จัดสรรงบประมาณ 10–20 เปอร์เซ็นต์ให้กับเทคโนโลยีนี้ภายใน 12 เดือนข้างหน้า ตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของผู้นำว่า AI ไม่ใช่เทรนด์ระยะสั้น แต่คือพื้นฐานของขีดความสามารถใหม่ขององค์กรในอนาคต

 

ผมเห็นว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการลงทุน คือ ‘วิธีการนำ AI มาใช้อย่างมีความรับผิดชอบ’ เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีนี้กำลังเปิดทั้งโอกาสและความท้าทายใหม่ให้กับผู้นำธุรกิจทั่วโลก ข้อมูลจากรายงานเผยว่าร้อยละ 59 ของซีอีโอ กังวลเรื่องจริยธรรมของการใช้ AI ร้อยละ 52 กังวลเรื่องความพร้อมของข้อมูล และอีกร้อยละ 50 เห็นว่าการขาดกฎระเบียบที่ทันต่อเทคโนโลยีอาจเป็นอุปสรรคต่อการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

ดังนั้น ผู้นำธุรกิจไทยควรคำนึงอยู่เสมอว่าความสำเร็จของ AI ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับระบบกำกับดูแลที่ดี ความไว้วางใจจากคนในองค์กร การนำ AI มาใช้อย่างมีจริยธรรม โปร่งใส และคำนึงถึงผลกระทบต่อคน จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าธุรกิจไทยจะใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อสร้างความได้เปรียบหรือเพียงแค่ตามให้ทัน

 

คน คือพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเทคโนโลยี

 

AI จะไม่สามารถสร้างคุณค่าได้ หากไม่มี ‘คน’ ที่พร้อมใช้และพัฒนาเทคโนโลยีอย่างเต็มศักยภาพ ร้อยละ 77 ของซีอีโอทั่วโลกเชื่อว่าการพัฒนาทักษะด้าน AI และเทคโนโลยีจะส่งผลโดยตรงต่อความรุ่งเรืองขององค์กรในสามปีข้างหน้า ขณะที่ร้อยละ 70 ยอมรับว่าการแข่งขันเพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถด้านนี้คือความท้าทายสำคัญ

 

สำหรับผู้นำธุรกิจไทย ในความเห็นของผม การสร้างทักษะดิจิทัลและวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดรับการเรียนรู้คือกุญแจสู่การเติบโต การลงทุนในคน ไม่ว่าจะเป็น การฝึกอบรมพนักงานเดิม จ้างงานใหม่ และปรับตำแหน่งให้สอดรับกับการเข้ามาของ AI มากขึ้น ไม่ใช่เพียงการเพิ่มศักยภาพภายในองค์กร แต่คือการสร้างรากฐานของความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

 

เส้นทางสู่ความยั่งยืน: จากเป้าหมายสู่การลงมือจริง

 

ในปีนี้ ร้อยละ 61 ของซีอีโอกล่าวว่าบริษัทของตน ‘อยู่ในเส้นทางที่จะบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2030’ เพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 51 ในปีก่อน แสดงให้เห็นว่าความยั่งยืนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์หลักของธุรกิจ มากกว่าการดำเนินการเชิงสัญลักษณ์ ความมั่นใจที่เพิ่มสูงขึ้นอาจเป็นผลมาจากการกำกับดูแลที่ดีขึ้น การผนึกเป้าหมายความยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์หลักขององค์กรอย่างแท้จริง และการบูรณาการความยั่งยืนเข้าไปในกลยุทธ์ทางธุรกิจมากขึ้น

 

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าน่าสนใจคือ ซีอีโอเชื่อว่า AI เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืน โดยร้อยละ 79 ของผู้นำมองว่า AI ช่วยปรับปรุงคุณภาพข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG) และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร ขณะที่ร้อยละ 78 เชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นรูปธรรม สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าผู้นำกำลังใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีทั้งต่อองค์กรและต่อสังคม

 

4 แนวทางที่ผู้นำธุรกิจไทยควรให้ความสำคัญ

 

จากผลการสำรวจ CEO Outlook 2025 ผมเห็นได้ชัดว่าผู้นำที่ประสบความสำเร็จในยุคนี้ไม่เพียงแต่ต้องกล้าลงทุนในนวัตกรรม แต่คือผู้ที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความรับผิดชอบ ผมจึงอยากเสนอแนะให้ผู้นำธุรกิจไทยคำนึงถึงแนวทางสำคัญสี่ประการ ดังนี้

 

  • ด้านภูมิรัฐศาสตร์: องค์กรที่ประสบความสำเร็จในยุคนี้ต้องเข้าใจความเชื่อมโยงของโลกธุรกิจและสามารถปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานให้ยืดหยุ่น มองเห็นความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์เป็นโอกาสในการวางกลยุทธ์ใหม่ เพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน

 

  • เทคโนโลยีและ AI: องค์กรต้องพัฒนาการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง ดำเนินการเชิงรุกในการปกป้องสินทรัพย์ดิจิทัล กำหนดกรอบธรรมาภิบาลที่โปร่งใสและมีจริยธรรม การสร้างสภาพแวดล้อมที่นวัตกรรมสามารถเติบโตได้อย่างปลอดภัย รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพของบุคคลากร ไม่ใช่การมาแทนที่

 

  • บุคลากรและทักษะดิจิทัล: สนับสนุนวัฒนธรรมที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลง สร้าง ‘องค์กรแห่งการเรียนรู้’ ส่งเสริมการพัฒนาทักษะดิจิทัล การคิดเชิงวิเคราะห์และการสร้างภาวะผู้นำให้แก่บุคลากร

 

  • ความยั่งยืน: การบูรณาการเป้าหมายด้าน ESG เข้ากับกลยุทธ์หลักขององค์กรเป็นเส้นทางสู่การสร้างมูลค่าที่ยั่งยืน ผู้นำควรใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI และ Data Analytics เพื่อวัดผลและติดตามความคืบหน้าอย่างโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและคุณค่าร่วมกับทุกภาคส่วน

 

สำหรับธุรกิจไทยในยุคที่ความไม่แน่นอนกลายเป็นเรื่องปกติ ผมเชื่อว่าความมั่นคงไม่ได้มาจากการคาดเดาอนาคตได้แม่นยำที่สุด แต่มาจากความสามารถของผู้นำในการมองเห็นโอกาสจากความเปลี่ยนแปลงก่อนใคร และมุ่งลงทุนในสิ่งที่สร้างคุณค่าให้แก่อนาคตของธุรกิจ เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้นำที่สามารถเรียนรู้ปรับตัวได้ไว และมุ่งลงทุนในสิ่งที่สร้างคุณค่าให้อนาคต จะเป็นผู้ที่สามารถสร้างโอกาสใหม่และการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่ธุรกิจ

 

ภาพ: metamorworks/Getty Images

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising