แม้จะเจอต้องเลื่อนฉายไปหลายปีจากวิบากกรรมของนักแสดงนำ ยูอาอิน ในข้อหายาเสพติด แต่ The Match ก็ขึ้นอันดับหนึ่ง Box Office ในเกาหลีใต้ถึง 3 สัปดาห์ ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าหากตัดปัญหาส่วนตัว ยูอาอินคือนักแสดงที่ดีและมีเสน่ห์ทุกครั้งที่อยู่หน้าจอ ยิ่งเมื่อปะทะฝีมือกับอีบยองฮุนตำนานนักแสดง ยิ่งทำให้ The Match เข้มข้นด้านชั้นเชิงการแสดง อย่างไรก็ตามความซับซ้อนของ ‘หมากล้อม’ กลับกลายเป็นกำแพงกั้นจนบางครั้งขาดอารมณ์ร่วม และยังห่างชั้นจาก เรื่องราวบนเกมกระดานเหมือนกันอย่าง The Queen’s Gambit ที่ใช้กระดานหมากรุกสื่อสารตัวตนของตัวละครได้ดีกว่า
The Match พาผู้ชมย้อนกลับไปสู่โลกแห่งหมากล้อม ในเกาหลีใต้ช่วงทศวรรษ 1990 บอกเล่าเรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตจริงของสองนักหมากล้อมผู้ยิ่งใหญ่ โชฮุนฮยอน (อีบยองฮุน) และ อีชางโฮ (ยูอาอิน) เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อโชฮุนฮยอน กลับจากการคว้าชัยชนะในการแข่งขันระดับโลกที่สิงคโปร์จนกลายเป็นความภาคภูมิใจของชาติ จังหวะเดียวกันเขาได้พบกับ อีชางโฮ ในวัยเด็ก (คิมคังฮุน) นักหมากล้อมที่มีไหวพริบอันน่าทึ่ง ด้วยสายตาที่มองเห็นศักยภาพล้นเหลือ โชฮุนฮยอนตัดสินใจรับเด็กชายมาเป็นลูกศิษย์ ถ่ายทอดวิชาและความรู้ทั้งหมดที่เขามี
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ค้นพบว่า ‘เด็กปั้น’ คนนี้ไม่ธรรมดา มีความสามารถแซงหน้าเขาได้ด้วยสไตล์การเล่นที่แตกต่างกัน กิเลสในใจทำให้หลายครั้งเขาคิดจะสกัดดาวรุ่ง ในขณะที่ อีชางโฮ (ยูอาอิน) ในวัยหนุ่มเริ่มตั้งคำถามกับศักยภาพที่ตัวเองมี และวิธีการสอนของอาจารย์ที่เปรียบเสมือนพ่อคนที่สอง
ในที่สุดเกมหมากล้อมก็ทำทั้งคู่กลายมาเป็นคู่แข่งกัน พร้อมทั้งความผิดบาปในใจในฐานะอาจารย์กับลูกศิษย์
ความน่าสนใจของ The Match คือการสะท้อนภาพความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ในยุคที่สังคมเกาหลีใต้ที่ยึดหลักความอาวุโสอย่างเข้มข้น เราจึงได้เห็นพฤติกรรมของ โชฮุนฮยอน ในลักษณะ Gaslighting (การเบี่ยงเบนความคิด หรือความรู้สึกของอีกฝ่าย เพื่อทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ หรือระแวงสงสัย) ต่ออีชางโฮจนบุคลิกเปลี่ยนไปจากเด็กชายสดใส เต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ กลายเป็นเด็กหนุ่มที่รู้สึกเคลือบแคลงสงสัย สีหน้าเหมือนตั้งคำถามในใจตลอดเวลา ขณะเดียวกับก็สะท้อนถึงความสับสนในใจเมื่อเขาต้องกลายเป็นคู่ปรับของคนที่ปลุกปั้นตัวเองขึ้นมา ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าวิธีการสอนมันช่างต่างจากมุมมองในเกมที่เขามองเห็น
ทั้งหมดทั้งมวลกลายเป็นธีมอารมณ์ที่ตั้งคำถามถึงการเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์เมื่อความทะเยอทะยานและอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องราวของการเติบโตของลูกศิษย์ที่เริ่มตั้งคำถามกับผู้เป็นอาจารย์ และความท้าทายของผู้ให้คำปรึกษาในการยอมรับการก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง กลายเป็นสงครามจิตวิทยาตีคู่ไปกับสงครามบนเกมกระดาน
จุดเด่นที่ไม่อาจมองข้ามของ The Match คือการแสดงอันทรงพลังของนักแสดงนำทั้งสอง อีบยองฮุน ในบทบาทของ โชฮุนฮยอน ได้อย่างลึกซึ้ง แสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิใจในฐานะผู้เป็นตำนาน ความหวั่นไหวเมื่อเผชิญหน้ากับการเติบโตของลูกศิษย์ และความยากลำบากในการยอมรับการเปลี่ยนแปลง จนหลายครั้งก็เผยให้เห็นด้านมืดที่ย้อนมาทำให้เขารู้สึกผิด นอกจากนี้ยังสะท้อนภาพครูบาอาจารย์ที่สงวนคำชมไว้ในวาระสุดท้าย ซึ่งบางครั้งอาจจะสายเกินไปและไม่อบอุ่นอย่างที่ควรจะเป็น ส่วน ยูอาอิน ในบทบาทของ อีชางโฮ ก็สามารถสื่อถึงความมุ่งมั่น ความเงียบขรึม และการเปลี่ยนผ่านจากลูกศิษย์ผู้เคารพรัก กลายเป็นคู่แข่งที่น่าเกรงขาม ผสมผสานความรู้สึกในเชิงลูกศิษย์คิดล้างครูที่แอบสะใจอยู่ลึกๆ แต่ก็รู้สึกผิดต่อชะตากรรมที่อาจารย์ต้องได้รับ เรียกได้ว่าเคมีระหว่างนักแสดงทั้งสองเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ แม้ว่าในเบื้องต้นพวกเขาจะอยู่กันคนละฝั่งของกระดานก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดที่สำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้สำหรับผู้ชมที่ไม่คุ้นเคยกับเกมหมากล้อม คือการเข้าถึงอารมณ์ร่วมและความตื่นเต้นของการแข่งขัน แม้ว่าภาพยนตร์จะพยายามนำเสนอภาพมุมต่างๆ ของการเล่น และสร้างบรรยากาศที่ตึงเครียด แต่สำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจกฎกติกาและกลยุทธ์ของเกม ก็อาจรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกที่มองเข้าไปในโลกที่ซับซ้อน ยากที่จะเข้าใจถึงความสำคัญของการเดินหมากแต่ละครั้ง หรือความหมายเบื้องหลังช่วงเวลาแห่งการหยุดคิด ทั้งๆ ที่ หมากล้อคือหนึ่งในเครื่องมือเร้าอารมณ์ที่สำคัญของการดำเนินเรื่องเกือบทั้งหมด จนเนื้อหาที่น่าจะตื่นเต้นกลายเป็นความน่าเบื่อในหลายช่วงจังหวะ
ในส่วนของการผลิต The Match ทำได้ดีในการสร้างบรรยากาศของยุคสมัย และถ่ายทอดความสำคัญของเกมหมากล้อมในสังคมเกาหลีในช่วงเวลานั้น การจัดแสงและโทนสีที่อบอุ่นช่วยเสริมให้ภาพยนตร์มีความรู้สึกถึงอดีตที่น่าคิดถึง
โดยรวมแล้ว The Match เป็นภาพยนตร์ที่น่าสนใจ ด้วยการแสดงที่ยอดเยี่ยมของ อีบยองฮุน และ ยูอาอิน ที่แบกรับเรื่องราวได้อย่างอยู่หมัด แม้ว่าความซับซ้อนของเกมหมากล้อมอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ชมบางกลุ่ม แต่ธีมอารมณ์ที่เข้มข้นเกี่ยวกับการแข่งขัน การเติบโต และความสัมพันธ์ระหว่างครูศิษย์ ก็ยังคงดึงดูดให้ติดตามได้ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบภาพยนตร์แนวดราม่าที่เน้นการแสดงและเรื่องราวความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน The Match ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ไม่ควรพลาดจากวงการภาพยนตร์เกาหลีใต้
รับชม The Match ได้ทาง Netflix
อ้างอิง: