สันติภาพเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ แต่ละเดือน กระบวนการนี้ค่อยๆ เปลี่ยนความคิดของผู้คน ค่อยๆ รื้อทำลายอุปสรรคเก่า ค่อยๆ ทำโครงสร้างใหม่ และแม้การแสวงหาสันติภาพอาจจะไม่ตื่นเต้นเร้าใจ แต่การแสวงหาสันติภาพนั้น ก็จะต้องดำเนินต่อไป
John F. Kennedy
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ภาษาที่สื่อสารด้วยความกลัวในแบบของนักการเมืองประชานิยม [ต่อปัญหาชายแดน] ทำให้เกิดแรงสนับสนุนในแนวทางการแก้ปัญหาด้วยมาตรการความมั่นคง และทำให้เกิดกระบวนการที่ทำให้ชายแดนกลายเป็นเรื่องทางทหาร พร้อมกันนั้น [สังคม] ก็หลับตาต่อผลสืบเนื่องอันร้ายแรง [ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต] ยุทธศาสตร์เช่นนี้จึงประสบความสำเร็จในการหันเหความสนใจของเราไปจากสาเหตุที่แท้จริงของความไม่มั่นคง [ชายแดน] ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เกินกว่าปัญหาชายแดน คือ เรื่องของสงคราม ความรุนแรง ความยากจน และความไม่เท่าเทียมทางสังคม ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ยุทธศาสตร์เช่นนี้ก็สร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรงทวีมากขึ้นที่ชายแดนด้วย
บทวิจารณ์การจัดการปัญหาชายแดนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
Paul Richardson
Myths of Geography (2024)
บทความนี้ขอเปิดประเด็นด้วยคำกล่าวในแบบ “นักอุดมคติ” ของอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี ที่กล่าวในเชิง “อุดมคตินิยม” (Idealism) กับแนวทางการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศ ซึ่งอย่างน้อย ก็เป็นข้อเตือนสติเราว่า ในท่ามกลางปัญหาที่เกิดขึ้น กระบวนการการสร้างสันติภาพยังเป็นอีกส่วนของปัญหาที่เราไม่จำเป็นต้องละเลย แม้การสร้างสันติภาพอาจจะไม่บรรลุผลได้เร็วอย่างที่หลายฝ่ายอยากเห็นก็ตาม
ในอีกส่วนหนึ่ง ผู้เขียนขอยกเอาคำกล่าวของพอล ริชาร์ดสัน จากหนังสือเรื่อง “มายาคติของภูมิศาสตร์” (Myths of Geography) มาเป็นการเปิดประเด็นอีกส่วน คำกล่าวของริชาร์ดสันมาจากข้อวิจารณ์ของเขาต่อแนวคิดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และกลุ่มประชานิยมปีกขวาอเมริกัน (Rightwing Populism) ที่พยายามทำให้การแก้ปัญหาชายแดนสหรัฐอเมริกากับเม็กซิโก กลายเป็น “ปัญหาทางทหาร” คือ ทำให้เกิดสภาวะ “militarization of borders” ในการบริหารจัดการชายแดน ปรากฏการณ์เช่นนี้อาจเป็นข้อเตือนใจพวกเราในสังคมไทยได้ในอีกมุมหนึ่งของปัญหาในปัจจุบัน เนื่องจากความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ตกอยู่ในสภาวะ “militarization of borderlands” อย่างชัดเจนแล้ว
การกล่าวเปิดประเด็นเช่นนี้ มิได้ต้องการนำเสนอว่า การเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชานั้น สามารถจะดำเนินไปตามกรอบในแบบ “อุดมคติของงานการทูต” เช่นที่กล่าวในตำราของวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เนื่องจากในโลกที่เป็นจริงของวิกฤตระหว่างประเทศ การยุติเพื่อคลี่คลายวิกฤตนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน เพราะไม่เพียงต่างฝ่ายต่างยึดเอา “ผลประโยชน์สูงสุด” ของตนเป็นหลักเท่านั้น หากยังมีเรื่องราวที่เป็น “ประเด็นการเมือง” แอบซ่อนอยู่ในความเป็นผู้นำรัฐบาลของแต่ละฝ่ายอีกด้วย
ดังนั้น คำกล่าวเปิดประเด็นในข้างต้น จึงเป็นเพียงการชักชวนให้ท่านผู้อ่านได้ช่วยกันมองเพื่อหาทางออกให้กับประเทศคู่พิพาทที่วันนี้ เข้าไปติด “กับดักความขัดแย้ง” และทำท่าที่อาจจะหาทางออกไม่ได้
กล่าวนำ
สถานการณ์วิกฤตการณ์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ที่เริ่มขึ้นมาจากปัญหาชายแดนตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ยังไม่มีท่าทีจะยุติได้จริงแต่ประการใด แม้จะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ที่นำโดยนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกุล แล้วก็ตาม ซึ่งแต่เดิมมีความหวังว่า การเปลี่ยนรัฐบาลที่กรุงเทพฯ อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการลดระดับความขัดแย้ง แต่ในความเป็นจริง เรายังไม่เห็นจุดเริ่มต้นเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตามแนวชายแดนกลับมีแนวโน้มที่อาจขยายตัวเป็นวิกฤตใหญ่ขึ้นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการปลุกกระแส “ชาตินิยม” ที่กำลังผสมผสานเข้ากับกระแส “เสนานิยม” ได้อย่างลงตัวในปัจจุบันช่วงเวลาปัจจุบัน ซึ่งการสร้างกระแสเช่นนี้ อาจกลายเป็นข้อจำกัดอย่างมากในการคลี่คลายความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เพราะต่างฝ่ายต่างยืนอยู่กับกระแสดังกล่าว จนยังไม่เห็นลู่ทางของการเจรจาที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต และยิ่งรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะเดินในแนวทางแบบ “โหนกระแส” เพื่อตอบสนองต่อความรู้สึกของคนในสังคมไทยที่ถูกประกอบสร้างในแบบ “ลัทธิชาตินิยม-เสนานิยม” ด้วยแล้ว การหาทางออกจากกับดักความขัดแย้ง จึงยัง “ไม่เห็นแสงสว่างของสันตภาพที่ปลายอุโมงค์” แต่อย่างใด
ดังนั้น บทความนี้จะทดลองนำเสนอข้อพิจารณาถึงนายกรัฐมนตรี อนุทิน ที่วันนี้ต้องรับหน้าที่เป็น “กัปตันใหญ่” ในการนำพา “รัฐนาวาไทย” ให้ผ่านลมพายุของวิกฤตชุดนี้ไปให้ได้อย่างปลอดภัย
ข้อเสนอ
อยากขอเริ่มต้นด้วยข้อสังเกตว่า นับตั้งแต่เกิดปัญหาความขัดแย้งจากปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน สังคมไทยยังไม่เห็นถึงนโยบายใหม่ของรัฐบาลในการแก้ปัญหานี้แต่อย่างใด ทิศทางของฝ่ายการเมืองยังคงดำเนินไปในลักษณะเดิม ไม่แตกต่างจากที่ผ่านๆ มา ทั้งที่กัมพูชาดูจะเป็นฝ่ายเปิด “เกมรุกทางการเมือง” ในหลายเรื่อง จนไทยตกอยู่ในสภาพของการเป็นฝ่ายรับมาโดยตลอด
แต่สังคมในอีกด้านก็มีความหวังว่า การมาของรัฐบาลใหม่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการคลี่คลายปัญหา เพื่อทำให้วิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้คลายตัวออก และพาประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 2 กลับมาสู่การมี “ความสัมพันธ์ทางการทูตในแบบปกติ” มิใช่ความสัมพันธ์ที่ยืนอยู่บนเงื่อนไขสงครามและความขัดแย้ง
ฉะนั้น บทความนี้จะทดลองนำเสนอข้อพิจารณา 10 ประการถึงบทบาทของนายกฯ อนุทินในการดำเนินนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงไทยต่อกัมพูชา ดังนี้
1. นายกฯ ควรเป็นผู้นำในการเสนอนโยบายและยุทธศาสตร์ใหม่ ไม่ใช่เป็นการเสนอแบบเข็มมุ่งที่ฝ่ายซ้ายในอดีตชอบยกมากล่าว คือ “แยกกันเดิน รวมกันตี” เช่นที่นายกฯ นำมากล่าวในงานของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) เพราะในกระบวนการแก้ปัญหาที่เป็นจริงนั้น ประเทศต้องการยุทธศาสตร์เพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง ข้อเสนอในแบบเข็มมุ่งเช่นนี้ จึงไม่ตอบโจทย์เชิงนโยบายสำหรับฝ่ายปฏิบัติ และอาจไม่เป็นประโยชน์ในการสื่อสารทางการเมืองกับสังคม (แม้จะถือว่าเป็นการกล่าวในเวทีภายในของ วปอ. ก็ตาม แต่ก็มีสื่ออยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก จึงมิใช่เป็นเวทีภายในในการสื่อสารแต่อย่างใด)
2. นายกฯ ต้องทำความเข้าใจว่า รัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศ และกองทัพมีหน้าที่ในการนำเอายุทธศาสตร์ไปปฏิบัติ เพราะกองทัพเป็น “กลไกรัฐ” ดังนั้น จึงไม่ใช่ปล่อยให้ทหารไปคิดยุทธศาสตร์เองตามที่นายกฯ กล่าวที่ วปอ. และทหารไทยคิดยุทธศาสตร์เองไม่ได้ เพราะยุทธศาสตร์ต้องการกรอบคิดมากกว่าการใช้เครื่องมือทางทหารในการแก้ปัญหาของประเทศ และการยกยุทธศาสตร์ไปให้ฝ่ายทหารคิด จะได้ผลลัพธ์กรอบเล็กที่เป็น “ยุทธศาสตร์ทหาร” ซึ่งเป็นเพียงกิ่งเดียวของ “ยุทธศาสตร์ชาติ” ที่รัฐบาลจะต้องเป็นผู้กำหนดในภาพมหภาค
3. นายกฯ ไม่ควรเล่นกับกระแส “ชาตินิยม-เสนานิยม” แบบสุดตัว (หรือมากเกินไป) เพราะกระแสนี้อาจพารัฐบาลเข้าไปติดกับดักด้วยการแก้ปัญหาในกรอบคิดแบบชาตินิยม ที่อาจจบลงด้วยการทำสงคราม และต้องไม่ลืมบทเรียนที่เพิ่งผ่านมาไม่นานว่า การปลุกระดมครั้งใหญ่ในกรณี “วิกฤตการณ์ปราสาทพระวิหาร ครั้งที่ 2” ในปี 2551 ส่งผลให้เกิดสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่บริเวณปราสาทพระวิหารในปี 2554 แต่สงครามดังกล่าวกลับกลายเป็นโอกาสสำหรับการอุทธรณ์ของกัมพูชาต่อศาลโลก และในที่สุดศาลโลกได้ออกการตีความคำตัดสินเดิมในปี 2556 อันทำให้ประเทศไทยเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ เพราะเกิดพื้นที่เขตปลอดทหารรอบตัวปราสาทพระวิหารเกินจากที่ไทยได้กำหนดไว้ในปี 2505 (ผู้นำฝ่ายทหารและฝ่ายการเมืองไทยในปัจจุบันอาจไม่มีความเข้าใจและ/หรือสนใจในเรื่องนี้เท่าที่ควร)
4. นายกฯ ต้องตระหนักว่า ในความเป็นผู้นำรัฐบาลนั้น นายกฯ ควรนำเสนอถึงสิ่งที่นักยุทธศาสตร์เรียกว่า “Exit Strategy” ที่หมายถึง ยุทธศาสตร์ในการแสวงหาทางออกจากปัญหา เพื่อให้สังคมเกิดความหวังในการยุติปัญหาความขัดแย้งในอนาคต และที่สำคัญคือ ยุทธศาสตร์นี้จะเป็นช่องทางในการพาประเทศออกจากสภาวะวิกฤต อันเป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐบาลทุกรัฐบาล เพราะโดยหลักการของวิชาการเมืองระหว่างประเทศนั้น รัฐบาลต้องเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบในการคลี่คลายวิกฤตของประเทศ ไม่ใช่เป็นการพาประเทศถลำลึกเข้าไปติด “กับดักวิกฤต” มากขึ้น
5. นายกฯ อาจต้องทำความเข้าใจกับ ”โครงสร้างและระบบงาน” ความมั่นคงของประเทศ เพราะระบบนี้กำหนดบทบาทสำคัญไว้กับ 4 ตำแหน่งหลัก คือ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง รัฐมนตรีต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ บุคคลทั้ง 4 ตำแหน่งคือ “จตุรัสความมั่นคงไทย” ซึ่งจะต้องทำหน้าที่เป็น “จักรกล” ในการจัดการปัญหาความมั่นคงของประเทศ แต่ในสถานปัจจุบัน มีคำถามเฉพาะหน้าในทางการเมืองว่า ใครคือรองนายกฯ ในตำแหน่งนี้ (ผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้ต้องรับผิดชอบกับงานความมั่นคงเรื่องภาคใต้ในอนาคตด้วย) อีกทั้ง นายกฯ ต้องตระหนักเสมอว่า บุคคลทั้ง 4 ตำแหน่งที่มีความรู้และความเข้าใจในการแก้ปัญหาวิกฤตนั้น คือ “หลักประกันของความสำเร็จ” สำหรับรัฐบาล
6. นายกฯ ควรพิจารณาว่า แม้ปัญหาชายแดนอาจจะดูเป็น “โจทย์ใกล้ตัว” เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนของเรา แต่ในความเป็นจริง ปัญหาชายแดนเป็น “โจทย์ระหว่างประเทศ” และต้องการเครื่องมือในการแก้ปัญหามากกว่าเครื่องมือทางทหาร หรือปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องของกระทรวงกลาโหมและกองทัพฝ่ายเดียวแต่อย่างใด หน่วยงานที่ต้องมีบทบาทอย่างสำคัญในเรื่องนี้ คือ กระทรวงการต่างประเทศ การผลักดันบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศให้เป็น “แนวหน้า” ของการต่อสู้กับปัญหาในเวทีสากล จึงเป็นเรื่องสำคัญ และบางทีบทบาทของกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพอาจจะมีข้อจำกัดมากกว่าที่เราคิด
7. นายกฯ ต้องออกแรงผลักดันให้ “กลไกรัฐด้านความมั่นคง” ทั้ง 4 ส่วนสามารถสอดประสานทำงานได้ ภายใต้การควบคุมและกำกับในเชิงนโยบายจากรัฐบาล กลไกเหล่านี้จะต้องไม่ถูกปล่อยให้ดำเนินนโยบายเองอย่างเป็นเอกเทศ ดังนั้น รัฐบาลโดยตัวนายกฯ จะต้องมียุทธศาสตร์ หรือมี “นโยบายกรอบใหญ่” เป็นทิศทางที่จะใช้กำกับการดำเนินงานของหน่วยงานความมั่นคง ให้เดินไปในทิศทางที่รัฐบาลต้องการ มิใช่เกิดสภาวะที่ รัฐบาลเดินไปตามการกำหนดทิศทางของหน่วยงานความมั่นคงในเชิงนโยบาย
8. ในท่ามกลางการขยายตัวของกระแสชาตินิยม ที่เดินคู่ขนานกับกระแสเสนานิยมนั้น รัฐบาลโดยตัวนายกฯ ควรจะต้องคิดถึงเรื่อง “การจัดความสัมพันธ์พลเรือน-ทหาร” (civil-military relations) ที่ช่วยในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่าง “รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งกับกองทัพ” ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม และมิใช่เกิดสภาวะที่กระแสเสนานิยม ขยับสูงจนกลายเป็นแรงกดดันให้กระบวนการทำนโยบายในการแก้ปัญหา วิกฤตนั้น ตกอยู่ในสภาวะที่กลายเป็น “กระบวนการทำให้เป็นทหาร” (militarization) คือ เกิดแนวคิดที่จะแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลังทหารเป็นทิศทางหลัก หรือในอีกด้าน อาจเรียกได้ว่าเป็นสภาวะ “การทหารนำการเมือง” ในการแก้วิกฤตระหว่างประเทศ ซึ่งอาจสุ่มเสี่ยงต่อโอกาสของการเกิดสงคราม
9. นายกฯ ต้องระวังไม่ให้ถูกกดดันจาก “กระแสสื่อ” ที่การทำข่าวปัญหากัมพูชามีลักษณะในเชิง “ปลุกเร้าอารมณ์” แทบไม่ต่างจากการทำข่าวใน “คดีลุงพล” การทำข่าวของสื่อที่เน้น “เรตติ้ง” ในเชิงอารมณ์ความรู้สึก และดำเนินไปในแบบ “สร้างกระแสเรียกคนดู” เพื่อเพิ่มจำนวนยอด “คนแชร์” ดังนั้น การนำเสนอของสื่อในแบบ “สร้างกระแส” จึงมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดกระแส “ชาตินิยม-เสนานิยม” ที่วันนี้มีข้อวิจารณ์ในมิติทางสังคมว่า บทบาทของสื่อเช่นนี้ไม่แตกต่างกันระหว่างการนำเสนอข่าวในไทยกับในกัมพูชา ทั้งที่ระดับทางสังคมของไทยในบริบทของความเป็นสื่อในทางวิชาชีพน่าจะสูงกว่ามาก หรือในอีกมุมอาจกล่าวได้ว่า ปัญหาการนำเสนอของสื่อที่เน้นการสร้างกระแสเพื่อกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกแบบชาตินิยมนั้น ไม่เพียงสะท้อนถึงปัญหา “ความเป็นวิชาชีพของสื่อ” (media professionalism) หากยังสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ที่พร้อมจะกลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศได้ตลอดเวลา
10. นายกฯ ควรพิจารณาด้วยความรอบคอบต่อข้อเสนอของกลุ่มอนุรักษนิยมสุดโต่งที่ต้องการให้ยกเลิก MOU 2543 และ 2544 เพราะการยกเลิกจะเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายกัมพูชา ที่จะไม่มี “กรอบการเจรจา” กำกับไว้ และเมื่อยกเลิกแล้ว ก็ต้องจัดทำขึ้นใหม่ ซึ่งอาจจะไม่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายไทยเท่าเดิม เพราะถึงแม้จะยกเลิกไป การเจรจาก็ยังต้องอิงอยู่กับเอกสารสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ที่ปรากฏเป็นข้อกำหนดใน MOU เดิมนั่นเอง ดังนั้น จึงอยากขอให้ท่านนายกฯ อ่านเอกสารทั้ง 2 ฉบับอย่างเปิดใจกว้างด้วยตนเอง และเอกสารทั้ง 2 นี้ไม่ยาวแต่อย่างใด เพื่อให้เห็นด้วยตัวเองว่า เอกสารทั้ง 2 ฉบับมีสถานะเป็นเพียง “กรอบกำกับการเจรจา” เท่านั้นเอง เพราะการเจรจาระหว่างประเทศในทางปฏิบัติต้องมีกรอบเป็นเครื่องช่วยในการกำกับ เพื่อให้การเจรจานั้น สัมฤทธิ์ผลได้ในที่สุด ไม่ใช่เป็นการคุยอย่างไร้ทิศทางตามใจผู้เจรจา
11. นายกฯ ในความเป็นผู้นำรัฐบาล จะต้องคิดใน 2 เรื่องใหญ่สำหรับอนาคต และต้องไม่ใช่ให้ทหารไปคิดกันเอง คือ (1) ยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และ (2) ยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการชายแดนไทย-กัมพูชา และยุทธศาสตร์นี้จะต้องสอดรับกับ “Exit Strategy” ที่จะพารัฐคู่พิพาทออกจากปัญหาความขัดแย้งร่วมกัน เพราะการติดกับดักเช่นนี้ จะกลายเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดอารมณ์แบบ “ชาตินิยม-เสนานิยม” ที่ต้องการใช้กำลังในการจัดการปัญหา
12. นายกฯ อาจจะต้องตระหนักมากขึ้นว่า ยิ่งระยะเวลาของปัญหาความขัดแย้งทอดนานออกไปมากเท่าใด การแก้ไขปัญหาก็ยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งการทอดเวลาของปัญหาไทย-กัมพูชาเช่นนี้ ย่อมจะกลายเป็นช่องทางที่รัฐมหาอำนาจภายนอกใช้เป็นโอกาสในการแทรกตัวเข้ามา และผลสืบเนื่องที่ชัดเจนคือ ปัญหาจะยิ่งลดโอกาสของการจัดการในแบบ “ทวิภาคี” (bilateralism) ลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน การแก้ปัญหาทวีความเป็นแบบ “พหุภาคี” (multilateralism) มากขึ้นด้วย หรือในที่สุดแล้ว ปัญหาอาจกลายเป็นพหุภาคีได้ไม่ยาก หากฝ่ายกัมพูชาประสบความสำเร็จในการนำเอาปัญหาข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลโลกอีกครั้งเช่นที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในปี 2505 และในปี 2556 ฉะนั้น สภาพของปัญหาเช่นนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนให้ผู้นำไทยต้องยอมยกเลิกความคิดเก่า ที่ยึดมั่นในแนวทางแก้ปัญหาแบบทวิภาคี และต้องยอมเปิดใจที่จะต้องพิจารณาการแก้ปัญหาในอีกด้านที่เป็น “พหุภาคี” มากขึ้นด้วย
ความท้าทายในอนาคต
ข้อพิจารณาทั้ง 12 ประการนี้ทำขึ้นด้วยความหวังที่จะเห็นการแก้ “วิกฤตการณ์ไทย-กัมพูชา 2568” เป็นไปอย่างมีทิศทาง อันจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ในทางยุทธศาสตร์ที่เป็นบวกแก่ประเทศไทย และผลลัพธ์เช่นนี้ ย่อมเป็นประโยชน์ในทางการเมืองแก่ตัวนายกฯ และรัฐบาลนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย แต่ที่สำคัญมากกว่า คือ หากการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ครั้งนี้ สามารถยุติความขัดแย้งได้จริง ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูความสัมพันธ์ของประชาชนในประเทศทั้ง 2 ให้กลับมามีชีวิตร่วมกันได้อย่างปกติ ซึ่งต้องยอมรับว่า อาจจะไม่ง่ายเลย
ฉะนั้น ประเด็นนี้จะเป็นความท้าทายอย่างสำคัญที่รอผู้นำประเทศทั้ง 2 อยู่ข้างหน้าว่า หลังจากวิกฤตความขัดแย้งผ่านพ้นไปแล้ว เราจะสามารถคืน “ชีวิตตามปกติ” ให้กับผู้คนใน 2 ฟากฝั่งของเส้นเขตแดน เพื่อให้พวกเขาได้กลับมามีชีวิตเช่นก่อนการมาของความขัดแย้ง
อย่างไรก็ตาม นายกฯ อาจต้องคิดเสมอว่า คะแนนเสียงทางการเมืองในอนาคตจะมาจากความสำเร็จในการยุติปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ไม่ใช่มาจากการโหนกระแสชาตินิยม-เสนานิยม ที่เป็นเพียงกระแสชั่วคราวซึ่งถูกสื่อและทหารบางส่วนปลุกขึ้นมาในเวลาเช่นนี้เท่านั้นเอง!
ปัจฉิมกถา
บทความนี้ อยากขอจบด้วยการนำคำกล่าวของประธานาธิบดีเคนเนดีมาเป็น “คำปิดท้าย” เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในสภาวะที่รัฐคู่กรณีทั้งไทยและกัมพูชายังคงติดกับดักของวิกฤตการณ์ครั้งนี้ และยังหาทางออกไม่ได้
“นโยบายการเมืองภายใน สามารถทำให้เราแพ้ [การเลือกตั้ง] แต่นโยบายต่างประเทศ สามารถฆ่าพวกเราได้”
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร, MR.DEEN via ShutterStock