×

สถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา: ข้อสังเกตบางประการ

26.07.2025
  • LOADING...

ประวัติศาสตร์สอนไว้เสมอว่า สงครามเริ่มต้นขึ้นเมื่อรัฐบาลเชื่อว่า การรุกรานนั้น มีราคาถูก

Ronald Regan

อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

 

ความขัดแย้งในเรื่องของดินแดน ที่มีความเกี่ยวข้องกับกำลังทหารนั้น มีโอกาสที่จะขยายตัวเป็นสงครามมากกว่าความขัดแย้งในเรื่องอื่นๆ

Paul F. Diehl 

Territory and International Conflict (1999)

 


 

ในที่สุดแล้วความกังวลของหลายฝ่าย ได้กลายเป็นปัญหาจริงๆ เมื่อสถานการณ์การรบระหว่างไทยกับกัมพูชาได้เกิดขึ้น อันเป็นผลจากความตึงเครียดตามแนวชายแดนระหว่างประเทศทั้ง 2 ที่กระทบกระทั่งกันมาระยะหนึ่งดังที่ปรากฏเป็นข่าวมาก่อนหน้านี้ 

 

การสู้รบจากวันที่ 24 กรกฎาคม ดูจะมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น กองทัพของทั้ง 2 ฝ่ายมีการใช้อาวุธยิงตอบโต้กันไปมาตลอดแนวพรมแดน 

 

ดังนั้น หากพิจารณาสถานการณ์ในภาพรวมของสถานการณ์จนถึงวันที่ 25 กรกฎาคมนั้น เราอาจตั้งข้อสังเกตได้ ดังนี้

 

1. อะไรคือจุดสุดท้ายของสงคราม (End State ในทางยุทธศาสตร์) รัฐบาลกัมพูชามีท่าทีชัดเจนมาโดยตลอดที่ต้องการจะยกระดับปัญหาสู่เวทีสากล และจุดสุดท้ายที่ทางฝ่ายกัมพูชาต้องการอย่างมาก คือ การปรับปรุงเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา อันมีพื้นที่หลายส่วนที่มีปัญหาในการอ้างกรรมสิทธิ์ ส่วนไทยคงต้องการดำรงสภาวะเดิม (status quo) และดูจะไม่มีนโยบายอะไรที่ชัดเจนในเรื่องนี้ เพียงแต่หวังที่จะประคองสถานการณ์ไปเรื่อยๆ แต่สถานการณ์ที่จะประคองไปเรื่อยๆ เช่นนั้น ได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อการสู้รบได้เกิดในวันที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

 

2. อะไรคือจุดสุดท้ายของการรบ (End Game ในการใช้กำลัง) ในทุกการรบยุติได้ด้วย ‘การเจรจาและการหยุดยิง’ แต่ปัญหาคือ การหยุดยิงจะเริ่มได้จริงเมื่อใด และการเจรจาจะปรากฏในรูปแบบใดเพื่อยุติปัญหาที่เกิดขึ้น หลังจากการสู้รบที่เกิดขึ้นเพียง 2 วันที่ผ่านมา คำถามเช่นนี้ยังไม่สามารถตอบได้จริง 

 

3. สำหรับรัฐบาลไทยนั้น ชัดเจนว่าต้องการการเจรจาที่เป็นทวิภาคี ส่วนกัมพูชาต้องการเป็นพหุภาคี จึงมีความต้องการดันให้ปัญหาไปสู่เวทีโลก สภาวะเช่นนี้จึงตอบได้ยากว่า การรบจุดยุติด้วยการเจรจาแบบใด เพราะความต้องการรูปแบบการเจรจาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง 

 

4. น่าสนใจว่า คำร้องของกัมพูชาที่เสนอต่อสหประชาชาตินั้น จะมีผลออกมาเป็นเช่นไร และสหประชาชาติจะมีข้อเสนอแนะเป็นประการใดหรือไม่ในกรณีนี้ (การประชุมสหประชาชาติที่นิวยอร์กเวลา 15:00 น. ของวันที่ 25 จะตรงกับเวลาตี 3 ของวันที่ 26 ในไทย) ข้อเสนอแนะนี้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายต่อรัฐคู่ขัดแย้ง หรืออาจมีข้อเสนอเช่นเมื่อครั้งเกิดการสู้รบเช่นในปี 2554 ที่มอบให้อาเซียนเข้ามาเป็นคนกลางในการเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชา แต่ในที่สุดก็ประสบความล้มเหลว จนไทยต้องกลับเข้าสู่ศาลโลกอีกครั้ง อันเป็นผลจากการอุทธรณ์ต่อปัญหาคำตัดสินเดิม

 

5. อนาคตของพี่น้องประชาชนใน 2 บ้านจะอยู่กันอย่างไร จะสมานแผลอย่างไร เพราะในทางภูมิรัฐศาสตร์ไม่มีประเทศใดย้ายบ้านหนีจากกันได้ และจะต้องอยู่ด้วยกันไปในอนาคต และด้วยความเป็นเพื่อนบ้านเช่นนี้ ต่างฝ่ายต่างต้องพึ่งพิงกันในทางหนึ่งทางใดเสมอ ปัญหาข้อขัดแย้งเช่นนี้ย่อมจะกลายเป็น ‘แผลใจ’ ของคนในสังคมแต่ละฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน เพราะมีความสูญเสียจากการสู้รบที่เกิดขึ้น

 

6. อนาคตของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล 2 ประเทศจะดำเนินไปอย่างไร ดังที่กล่าวแล้วว่า ในบริบททางภูมิรัฐศาสตร์นั้น ไม่ว่าผู้นำจะ “ไม่ชอบหน้า” กันมากเพียงใดก็ตาม แต่ความเป็นประเทศเพื่อนบ้านจะต้องอยู่ร่วมกันต่อไป และยืนบนหลักความเป็นจริงทางภูมิรัฐศาสตร์ว่า “ไม่มีใครย้ายบ้านหนีจากใครได้!”

 

7. ถ้าความขัดแย้งลากยาวไป ต้องระมัดระวังการเข้าแทรกแซงของรัฐมหาอำนาจในการเป็นคนกลางในการเจรจา ซึ่งน่าสนใจต่อบทบาทของจีนในกรณีนี้ เพราะทุกฝ่ายจับตามองว่า จีนจะแสดงท่าทีอย่างไรกับความขัดแย้งครั้งนี้ เช่น คนในสังคมไทยหลายฝ่ายกังวลว่า จีนอาจให้ความสนับสนุนทางทหารแก่กัมพูชา เพราะการมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดในระยะหลัง

 

8. ในสงครามชายแดน มีสงครามข่าวสาร สงครามข่าวปลอม ต้องระวังข่าวปลอม เพราะมีปัญหานี้เกิดขึ้นใน 2 ประเทศ และเป็นการสร้างข่าวเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในสงคราม หรือเห็นถึงการทำสงครามข่าวสาร ในมิติของการสร้างข่าวปลอม เช่น ข่าวการสูญเสียกำลังทางทหารของอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งไม่มีความสูญเสียเช่นนั้นจริง เป็นต้น 

 

9. การกำหนดจุดสมดุลระหว่างบทบาทฝ่ายการเมืองกับบทบาทฝ่ายทหาร เป็นประเด็นที่ได้รับการวิจารณ์อย่างมาก ประเด็นในทางปฏิบัติ คือ ฝ่ายการเมืองจะมีบทบาทนำได้อย่างไร ถ้าไม่มีความเข้าใจเรื่องความมั่นคง ประเด็นนี้มีนัยสำคัญกับการจัดวางบทบาททหารในการเมืองภายในของไทย และทำให้หลายฝ่ายกังวลถึงการมาของ ‘กระแสนิยมทหาร’ ในการเมืองไทย เพราะมองว่า ฝ่ายการเมืองอ่อนแอ และมีความล่าช้าในการตอบโต้กับกัมพูชา

 

10. การปลุกกระแสชาตินิยมเป็นปัจจัยสำคัญเสมอในสงครามชายแดน ภาพการโจมตีของทหารกัมพูชาเป็นสิ่งที่ตอบสนองต่อกระแสชาตินิยมกัมพูชาในประเทศอย่างชัดเจน ว่าที่จริงแล้ว กระแสสนับสนุนสงครามแบบชาตินิยมไทยก็ไม่น้อยกว่าฝั่งกัมพูชา และในยามที่เกิดข้อพิพาทเรื่องเส้นเขตแดน กระแสชาตินิยมจะสอดรับกับกระแสนิยมทหารได้อย่างลงตัวเสมอ

 

11. ในสงครามต้องมี ‘การหาทางออก’ เพื่อหลีกเลี่ยงการติด ‘กับดักสงคราม’ การคิดหาทางออกจากสงครามต้องเริ่มคิดอย่างจริงจัง เพราะทั้ง 2 ประเทศรบไม่ได้ในระยะยาว เพราะจะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจและชีวิตประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจปัจจุบัน ไม่ใช่เงื่อนไขที่เหมาะให้ประเทศเข้าสู่ปัญหาการรบกับประเทศเพื่อนบ้านแต่อย่างใด

 

12. ในภาวะความขัดแย้งระหว่างประเทศเพื่อนบ้านเช่นนี้ ต้องคำนึงถึงมิติของ ‘ชีวิตชายแดน’ เสมอ เพราะชีวิตจริงทางเศรษฐกิจและผู้คนที่แท้จริงนั้น ส่วนหนึ่งของชีวิตนี้ เป็นเรื่องของ ‘เศรษฐกิจชายแดน’ ที่เป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนชีวิตในพื้นที่บริเวณดังกล่าว ต้องระวังความรู้สึกทางจิตวิทยาว่า ‘ชายแดนรบ ชายแดนตาย กรุงเทพฯสุขสบาย’ ประเด็นนี้เป็นโจทย์ที่รัฐบาลอาจต้องเข้าไปดูแลชีวิตของประชาชนกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ชายแดนให้มากขึ้น

 

13. รัฐบาลอาจจะต้องคิดทางยุทธศาสตร์ในเรื่อง ‘De-escalation of War’ ให้ได้ เพราะสงครามระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอาจเกิดง่าย แต่ก็มักไม่ใช่สงครามในระยะยาว และไม่ใช่สงครามที่มีลักษณะเป็น ‘สงครามใหญ่’ ในมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การรบเมื่อดำเนินไประยะหนึ่งแล้ว การต้อง ‘ลดระดับสงคราม’ ในภาวะเช่นนี้ เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นในตัวเอง เพราะสงครามในลักษณะเช่นนี้ ไม่ใช่สงครามของการยึดครอง

 

14. การสื่อสารทางการเมืองของรัฐบาลไทยกับสังคมภายในเป็นประเด็นสำคัญ จนปัจจุบัน (เช้าศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม) ยังไม่เห็นแถลงการณ์อย่างเป็นทางการของรัฐบาล และการสื่อสารต้องไม่ใช่การแสดงออกในแบบ ‘แซว’ ผู้นำอีกฝ่ายหนึ่งให้สนุกปาก เพราะผู้นำไทยต้องตระหนักถึงสถานะทางการเมืองของตน อีกทั้ง การสื่อสารทางการเมืองก็มิใช่การ ‘โพสต์ตอบโต้’ ในโลกโซเชียลแบบสนุกๆ

 

15. การสื่อสารทางการเมืองของรัฐบาลไทยกับเวทีสากล เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเวทีระหว่างประเทศไม่ได้เห็นปัญหาอย่างใกล้ชิด และอาจไม่เข้าใจประเด็นที่้เกิดขึ้น ฉะนั้น การสื่อสารต้องเน้นการส่งข้อมูลกับเวทีสหประชาชาติ อาเซียน และสื่อสารมวลชนระหว่างประเทศด้วย การสื่อสารในส่วนนี้ต้องการการคิดและการกำหนดประเด็นที่ชัดเจน ที่รัฐบาลจะสื่อกับโลกภายนอกให้เป็นประโยชน์ทางการเมืองกับประเทศไทยในเวทีสากล

 

16. ภาพการโจมตีเป้าหมายเปราะบาง (soft targets) หลายจุดในไทย น่าจะไม่เป็นผลดีกับภาพลักษณ์ของรัฐบาลกัมพูชาในเวทีโลก รัฐบาลไทยจะต้องขยายผลจากความเสียหายและความสูญเสียที่เกิดขึ้น เพราะผลของความสูญเสียในพื้นที่ส่วนหลังของไทยนั้น กลายเป็น ‘เป้าหมายพลเรือน’ ทั้งหมด โดยเฉพาะในกรณีของโรงพยาบาล โรงเรียน และร้านสะดวกซื้อ ซึ่งภาพความเสียหายเช่นนี้จะช่วยเป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นถึง ‘การโจมตีอย่างไม่จำแนก’ ของฝ่ายกัมพูชา

 

แผลใจ-แผลสงคราม!

 

ในท้ายที่สุด คงต้องติดตามดูว่าการสู้รบครั้งนี้ จะจบลงอย่างไร เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า สงครามครั้งนี้มีผลอย่างมากกับสถานะทางการเมืองภายในของประเทศทั้ง 2 และที่สำคัญ มีผลอย่างมากกับความรู้สึกของคนในสังคมของทั้ง 2 ฝ่ายอย่างมากในอนาคตด้วย เนื่องจากการรบที่เกิดขึ้นใหญ่กว่าสถานการณ์ในปี 2554 และมีระยะเวลายาวกว่า ซึ่งเท่ากับบ่งบอกถึงความเสียหายที่เกิดกับรัฐคู่สงคราม

 

อย่างไรก็ตาม คำถามที่จะต้องช่วยกันคิด และช่วยกันแสวงหาคำตอบ คือ อนาคตของประชาชนสองฝั่งของเส้นเขตแดน ที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน และฝ่าฟันปัญหาต่างๆ ร่วมกันนั้น พวกเขาจะอยู่ร่วมกันในอนาคตอย่างไร แม้ว่าจะมี ‘สงครามชายแดน 2568’ เป็นบาดแผลของความรู้สึกในใจก็ตาม … เราคงได้แต่หวังว่า เมื่อสงครามชายแดนชุดนี้จบลง บาดแผลในใจจะมีโอกาสสมานตัวเองได้บ้าง เพื่อให้ประชาชนของประเทศทั้ง 2 กลับมามีชีวิตอย่างปกติอีกครั้ง แม้จะต้องมี ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน’ คอยหลอกเอาสตางค์จากเราไม่เลิกก็ตาม 

 

สงครามชายแดนอาจจะยุติลงได้ แต่การหลอกลวงจาก ‘แก๊งจีนเทา’ ที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ยุติอย่างแน่นอน!

 

ภาพ: Niphon Subsri via ShutterStock

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising