×

Sex Education ซีซัน 4 ตลอด 5 ปีของซีรีส์เรื่องนี้ เราคุยเรื่องเพศเปลี่ยนไปแค่ไหน

29.09.2023
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 MIN READ
  • ถ้าหากได้ย้อนดู Sex Education ในซีซันแรก ซีรีส์เรื่องนี้สร้างความน่าตื่นเต้นด้วยการหยิบยกประเด็นเรื่องเพศขึ้นมาพูดชนิดแทบไม่เกรงใจใคร ทั้งเรื่องสื่อลามก, จินตนาการพิสดารทางเพศ, หนองในเทียม, การทำแท้ง, อัตลักษณ์ทางเพศ, การกระทำที่น่าอับอาย, การล่วงละเมิดทางเพศ ฯลฯ โดยเล่าออกมาอย่างมีอารมณ์ขันและความเห็นใจในมุมมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ
  • ความดีงามของซีซันที่ 4 คือความหลากหลาย และการใส่จินตนาการจนเหมือนโลกสมมติที่ไม่คิดว่าเราจะเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาเพียง 5 ปี แต่ก็เกิดขึ้นแล้วในหลายพื้นที่ ทั้งเรื่องการเหยียดเพศ การบูลลี่ที่ตอนนี้ถูกกระแสตีกลับจนเป็นสิ่งที่ไม่คูลเอาเสียเลย รวมถึงการได้เห็นตัวละครข้ามเพศอย่าง Abbi และ Roman กลายเป็นเด็กป๊อปที่ใครก็อยากเข้าหา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกเขาอาจต้องซ่อนตัวเองในเงามืดของสังคมโรงเรียน
  • โดยภาพรวม Sex Education ซีซันสุดท้าย อาจจบลงแบบไม่หวือหวาแต่ทว่าลงตัว และทำให้ย้อนมองกลับมาที่ตัวเราเองว่า เปลี่ยนแปลงและเติบโตในช่วงเวลาสั้นๆ แค่ 5 ปี ไม่ต่างกับตัวละครในซีรีส์

แม้กระแสการตอบรับจะไม่อยู่ในระดับปังปุริเย่แบบ 3 ซีซันที่ผ่านมา แต่ก็เรียกว่า Sex Education ซีซันสุดท้ายจบลงอย่างสวยงามจากการเติบโตของตัวละคร แล้วย้อนมาถึงผู้ชมว่า มุมมองเรื่องเพศของเราเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ การยอมรับความหลากหลายที่ค่อยๆ กระจายไปในส่วนต่างๆ ของสังคม จนทำให้บทสรุปของซีรีส์แบบเรียนเรื่องเพศยุคใหม่เลือกบรรจุไว้จนล้นทะลักในซีซันปิดท้าย 

 

 

ในซีซันนี้เราไม่อาจเรียก Otis (Asa Butterfield) และผองเพื่อนว่าแก๊งมัวร์เดลอีกต่อไป เพราะโรงเรียนเดิมถูกขายให้นักพัฒนาที่ดินไปแล้ว ทำให้นักเรียนบางส่วนย้ายไปเรียนที่วิทยาลัยคาเวนดิชที่เป็นเหมือนโลกคู่ขนานของโรงเรียนมัวร์เดล ที่นี่ใช้เด็กนักเรียนเป็นศูนย์กลาง มีความเสรีจนแทบจะไร้ขีดจำกัด จนเป็นเหมือนโลกยูโทเปียของวัยรุ่นเลยก็ว่าได้ 

 

แต่ใช่ว่ายูโทเปียจะไม่มีปัญหาเรื่องเพศ ว่าแล้ว Otis จึงตั้งตัวเป็นที่ปรึกษาเรื่องเพศในโรงเรียนเหมือนเคย ผิดก็แต่ที่นี่ดันมี O (Thaddea Graham) ที่ปรึกษาปัญหาเรื่องเพศเจ้าถิ่นอยู่แล้ว จนทำให้เกิดเป็นการแข่งขันขับเคี่ยวกันของทั้งคู่ ขณะเดียวกัน Otis ก็ต้องสานสัมพันธ์ทางไกลกับ Maeve (Emma Mackey) ที่ได้ไปเรียนหลักสูตรการเขียนที่ Wallace University ในอเมริกา ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ก็ยังอยู่ในวัยว้าวุ่น ไม่ว่าจะเป็น Eric (Ncuti Gatwa) ที่อยู่ดีๆ ก็ได้เข้ากลุ่มเด็กป๊อปของ Abbi (Anthony Lexa) และ Roman (Felix Mufti) คู่รักข้ามเพศ ขณะที่ Aimee (Aimee Lou Wood) ก็ค้นพบหนทางเยียวยาตัวเองจากประสบการณ์การถูกล่วงละเมิด ส่วน Adam (Connor Swindells), Jackson (Kedar Williams-Stirling) และ Cal (Dua Saleh) ยังคงค้นหาตัวตนและที่ทางที่เหมาะสมของตัวเอง 

 

 

ถ้าหากได้ย้อนดู Sex Education ในซีซันแรก ซีรีส์เรื่องนี้สร้างความน่าตื่นเต้นด้วยการหยิบยกประเด็นเรื่องเพศขึ้นมาพูดชนิดแทบไม่เกรงใจใคร ทั้งเรื่องสื่อลามก, จินตนาการพิสดารทางเพศ, หนองในเทียม, การทำแท้ง, อัตลักษณ์ทางเพศ, การกระทำที่น่าอับอาย, การล่วงละเมิดทางเพศ ฯลฯ โดยเล่าออกมาอย่างมีอารมณ์ขันและความเห็นใจในมุมมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ ในบรรยากาศกึ่งย้อนไปในยุคทศวรรษ 1980 จากเสื้อผ้าและเพลงต่างๆ ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน จุดนี้เหมือนเป็นนัยแฝงว่า เรื่องเพศในสังคมยังคงถูกแช่แข็งไว้ในความคิดของผู้หลักผู้ใหญ่ แล้วสะท้อนออกมาผ่านบุคลิกตัวละครอย่าง Michael (Alistair Petrie) พ่อของ Adam และครู Hope (Jemima Kirke) อาจารย์ใหญ่คนใหม่ของมัวร์เดลในซีซัน 3 ทำให้บรรยากาศมีความขัดแย้ง มีความลับๆ ล่อๆ จนเป็นการต่อสู้ทางความคิดเรื่องเพศ  

 

แต่สำหรับซีซันนี้เหมือนทุกอย่างนำขึ้นมาวางบนโต๊ะ เผยให้เห็นทุกแนวคิด ทุกอัตลักษณ์ทางเพศ (ถ้าสังเกตจะมีความสัมพันธ์ของเพศหลากหลายเท่าๆ กับเพศหญิง-ชายทีเดียว) ทำให้การต่อสู้ทางความคิดเรื่องเพศดูดรอปลงไป กลายเป็นสนามรบทางวัฒนธรรมมากขึ้น ปัญหาเรื่องเพศถูกนำขึ้นมาพูดแบบขึงขัง จริงจัง เหมือนทุกอย่างเติบโตขึ้นตามวัยของตัวละครจนเหมือนเทศนาคนดู จนทำให้เสน่ห์บางอย่างของ Sex Education ขาดหายไป ทั้งความจริงใจ แนวความคิดที่หนุ่มสาวมีต่อเซ็กซ์และความสัมพันธ์ และการจัดการกับความกลัว หรือแม้แต่อารมณ์ขันก็ดูจะจางลง

 

 

อย่างไรก็ตาม ความดีงามของซีซันที่ 4 คือความหลากหลาย และการใส่จินตนาการจนเหมือนโลกสมมติที่ไม่คิดว่าเราจะเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาเพียง 5 ปี แต่ก็เกิดขึ้นแล้วในหลายพื้นที่ ทั้งเรื่องการเหยียดเพศ การบูลลี่ที่ตอนนี้ถูกกระแสตีกลับจนเป็นสิ่งที่ไม่คูลเอาเสียเลย รวมถึงการได้เห็นตัวละครข้ามเพศอย่าง Abbi และ Roman กลายเป็นเด็กป๊อปที่ใครก็อยากเข้าหา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกเขาอาจต้องซ่อนตัวเองในเงามืดของสังคมโรงเรียน ที่สำคัญคือได้เห็นความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ที่หลายคน ‘ยอมรับแต่ยังไม่ชิน’ ในฉากเลิฟซีนช่วงเอพิโสดสุดท้ายของซีซันนี้อีกต่างหาก แล้วยังมีประเด็นเรื่องคนพิการผ่านตัวละครอย่าง Aisha (Alexandra James) และ Isaac (George Robinson) เอาไว้อีกด้วย ซึ่งความหลากหลายนี้ก็ย้อนมาทำลายตัวเองเพราะบางประเด็นถูกทิ้งกลางทาง อย่างเช่น ตัวละคร Jackson กังวลว่าที่เขาชอบให้แฟนสาวเอานิ้วสอดก้นมันหมายความว่าอย่างไร?

 

แต่ถึงอย่างนั้น Sex Education ก็ยังหาทางลงให้กับตัวละครหลักได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง Otis กับ Maeve ที่ได้เล่นมุก ‘คนที่ใช่ในเวลาที่ผิด’ มาตลอด 3 ซีซัน แต่เมื่อถึงเวลาที่ทุกอย่างลงตัวก็มีปัจจัยที่ทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ และต้องแยกย้ายไปเติบโตบนเส้นทางของตัวเอง เป็นจุดจบที่ไม่ฟูมฟายและเป็นสิ่งที่คนดูเข้าใจได้ในวันที่ตัวละครต้องเติบโต เช่นเกี่ยวกับ Adam ที่นับได้ว่าเป็นตัวละครที่มีพัฒนาการมากที่สุด นับตั้งแต่เด็กเก็บกดจากการเลี้ยงดูของพ่อ จนค้นพบตัวเอง ได้เรียนรู้ที่จะสื่อสาร และการกลับมาสานสัมพันธ์กับพ่ออีกครั้งในซีซันสุดท้าย 

 

 

ในขณะที่ทางลงของ Eric ยังจุดประเด็นคำถามหนักๆ อย่างอัตลักษณ์ทางเพศไปกับศาสนาได้หรือไม่ ส่วนเรื่องของ Cal ก็โยนคำถามใหญ่ๆ ให้สังคมถึงสวัสดิการสำหรับคนที่ไม่พอใจในเพศสภาพของตัวเอง จะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบ้างหรือเปล่า รวมถึงตัวละครรุ่นพ่อแม่ในซีซันนี้ก็ยังต้องดิ้นรนหาหนทางแก้ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ ทั้งในรูปแบบคู่รัก พ่อลูก พี่น้อง และการเยียวยาความเจ็บปวดของอดีต เหมือนซีรีส์ตั้งใจสื่อสารให้รู้ว่า ไม่ว่าเราจะโตขึ้นแค่ไหน แต่ในเรื่องเซ็กซ์และความสัมพันธ์เราก็ยังต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดจบ 

 

โดยภาพรวม Sex Education ซีซันสุดท้าย อาจจบลงแบบไม่หวือหวาแต่ทว่าลงตัว และทำให้ย้อนมองกลับมาที่ตัวเราเองว่า เปลี่ยนแปลงและเติบโตในช่วงเวลาสั้นๆ แค่ 5 ปี ไม่ต่างกับตัวละครในซีรีส์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising