ในปี 1999 ภาพยนตร์เรื่อง “The Matrix” ดังมาก ฉากสำคัญในหนังที่เป็นที่จดจำและคนนำมาพูดต่อจนกลายเป็นกระแสและเป็นปรัชญาชีวิตในด้านต่าง ๆ ก็คือ การกินยาเม็ดของนักแสดงนำคือ “Neo” ก่อนเข้านอนที่มีให้เลือกว่าจะเอาสีแดงหรือสีน้ำเงิน
ถ้ากินเม็ดสีแดง คุณก็จะตื่นขึ้นมาพบกับความจริงและสิ่งที่เป็นความจริงที่คุณต้องประสบ ไม่ว่ามันจะเจ็บปวดรวดร้าวแค่ไหน จาก “The Matrix” หรือ “ภาพลวง” ที่คุณอยู่ก่อนกินยา และเมื่อคุณกินยาเม็ดสีแดงนี้ คุณจะไม่สามารถกลับไปที่เดิมได้เลย พูดง่าย ๆ คุณไม่สามารถ “ถอน” สิ่งที่คุณเห็นแล้วว่าเป็นจริง คุณกลับไป “หลอกตนเอง” ไม่ได้อีกต่อไป
ถ้าคุณกินยาเม็ดสีน้ำเงิน นั่นแปลว่าคุณเลือกความสบายใจและ “ภาพลวงตา” หรือมายา คุณจะตื่นขึ้นมา แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างที่เป็นตามปกติ และก็ไม่เคยรู้หรือตระหนักเลยว่า “Matrix” หรือ “ภาพลวง” หรือมายานั้นมีอยู่
พูดอย่างสั้นที่สุดก็คือ ยาเม็ดสีแดงนั้นแทนความตระหนักรู้ สัจจธรรม และความเป็นจริงของโลกที่โหดร้าย และไม่มีทางหวนกลับ ส่วนยาเม็ดสีน้ำเงินเป็นตัวแทนของความไม่รู้ ความสะดวกสบายใจ และความปลอดภัย อย่างที่เคยเป็นมาตลอดก่อนหน้านั้น
หลังจากการฉายหนังแล้ว คนในวงการต่าง ๆ ก็นำแนวคิดนั้นไปใช้เพื่อจะเปรียบเทียบระหว่างความจริงที่อาจจะเจ็บปวด กับความหลอกลวงที่อาจจะทำให้สบายใจ และอยู่กับมายาคติอย่างที่เป็นมา ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงและไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งสิ้น และในหลาย ๆ กรณีก็ยังดัดแปลงให้เหมาะสมกับสถานการณ์โดยการเปลี่ยนและเพิ่มสีของยาเม็ดเข้าไปด้วย
ตัวอย่างเช่น ในทางสังคมและการเมืองที่มีการพูดถึงยาเม็ดสีดำว่า เป็นยาที่แทนความสิ้นหวัง เชื่อว่าความเป็นจริงก็คือความสิ้นหวังหดหู่และไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ สีขาวคือการมองโลกในแง่ดีและมีความหวัง คือเห็นความจริงและเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และสีม่วงที่อยู่ตรงกลางคือต้องการความจริงแต่ก็ต้องสบายใจด้วย
ว่าที่จริงผมยังจำได้ถึงเหตุการณ์ทางการเมืองของไทยช่วงหนึ่งเมื่อสัก 20 ปีมาแล้วที่เกิดการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างคนที่อยู่ต่างจังหวัดที่มีฐานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่ากับคนชั้นนำในเมืองและก็เกิดสถานการณ์ที่เรียกว่า “ตาสว่าง” ของกลุ่มคนที่อยู่ต่างจังหวัด ผู้นำทางจิตวิญญาณของเขาบางคนที่ “รวยมาก” ที่ผมรู้จักได้พูดกับผมว่า เขาเหมือนกับดาราในหนัง Matrix คือเลือกกินยาเม็ดสีแดง และตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่โหดร้าย แต่เขากลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้แล้ว
กลับมาที่ “การลงทุน” ซึ่งแน่นอนว่ามีการใช้อุปมาอุปมัยเกี่ยวกับยาเม็ดของหนัง The Matrix แต่ก็ไม่ได้กว้างขวางมากนัก อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ชอบ เพราะตัวผมเองนั้น เมื่อมาคิดดู หลังจากที่ผมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเต็มตัวเกือบ 30 ปีมาแล้ว ผมก็ได้เลือกกินยาเม็ดสีแดงก่อนเข้านอนและตื่นขึ้นมาในโลก “ใบใหม่” ที่ผมพบกับความจริงและความเป็นจริงของตลาดหุ้นและการลงทุน
โดยที่ปรัชญาชี้นำในชีวิตผมก็เปลี่ยนเป็นแบบ Value Investment หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ผมรู้สึกหลุดพ้นจาก “ภาพลวง” ของตลาดหุ้นและการลงทุนก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิง และหลังจากนั้น ผมก็กลับไปเหมือนเดิมไม่ได้อีกต่อไปแม้ว่าจะเกิดอุปสรรคและสิ่งเลวร้ายเป็นช่วง ๆ ตลอดมาโดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ดูเหมือนว่า “VI” อาจจะใช้ไม่ได้อีกต่อไปในตลาดหุ้นไทย พูดง่าย ๆ เมื่อเป็น VI แล้ว เราก็ต้องเป็นตลอดชีวิต ไม่สามารถกลับไปเล่นเก็งกำไรหรือเล่นไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ในการลงทุนนั้นพูดกันว่า ยาเม็ดสีน้ำเงินก็คือ การลงทุนที่คุณเชื่อหรือปฏิบัติการลงทุนดังต่อไปนี้คือ (ซึ่งมักจะเป็นภาพลวงและให้ความสบายใจเวลาทำ)
1) เกาะกลุ่มไปกับฝูงชน หรือที่เรียกกันว่าเล่นหุ้นตามแห่ เพราะนี่จะทำให้เกิดความสบายใจ เพราะหุ้นมักจะวิ่งขึ้นเร็วและแรงและมีสภาพคล่องที่ดี ไม่อยากเล่นหุ้นที่ไม่มีใครเล่น
2) เชื่อว่า ตลาดหุ้นนั้นไม่ได้อันตรายถ้าคุณคอยติดตามอย่างใกล้ชิด และราคาหุ้นนั้นสะท้อนพื้นฐานของกิจการ หุ้นขึ้นก็เพราะมันมีข่าวดี หุ้นลงเพราะมีข่าวร้าย การปั่นหุ้นหรือเก็งกำไรถ้ามีก็เป็นสิ่งที่ทำให้ราคาหุ้นเป็นแบบนั้นอย่างรวดเร็ว
3) มักติดตามและเชื่อนักวิเคราะห์ นักข่าว และ “เซียน” โดยไม่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ ถ้าในตลาดหุ้นไทยก็มักจะถูกเรียกว่าเป็น “เม่า”
4) ชอบเล่นหุ้นที่อยู่ในกระแส เป็นหุ้นที่ทุกคนพูดถึงหรือทุกคนเล่นโดยไม่สนใจเรื่องความถูกความแพงของราคาหุ้นทั้ง ๆ ที่เห็นได้ชัดว่าราคาหุ้นสูงเกินไป
ยาเม็ดสีแดงในตลาดหุ้นจะทำให้คน ๆ นั้นเชื่อในหลักการที่เป็นความจริงและสภาพความเป็นจริง เช่น
1) กล้าเผชิญกับความเป็นจริงที่โหดร้ายเกี่ยวกับความเสี่ยง ฟองสบู่หุ้นและตลาดหุ้น และการปั่นหุ้นที่มีตลอดเวลา
2) ตระหนักว่านักลงทุนส่วนใหญ่ลงทุนแย่กว่าตลาด และอารมณ์ความรู้สึกนั้นมีผลกระทบต่อการซื้อ-ขายหุ้นและราคาตลาดมาก
3) พร้อมที่จะศึกษาและวิเคราะห์ตลาดและหุ้นด้วยตัวเอง กล้า “สวนกระแส” ทำตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่หรือฝูงชน ยอมรับความผันผวนของหุ้น ไม่ซื้อ-ขายหุ้นเมื่อราคาขึ้นลงรุนแรง
4) กล้าถือหุ้นยาวผ่านช่วงวิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้น
ตัวอย่างของนักลงทุนที่มีชื่อเสียงและเป็นพวกกินยาเม็ดสีแดงก็คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์
ชาร์ลี มังเกอร์ เรย์ ดาลิโอ โฮเวิร์ด มาร์กส์ และโมนิช พาไบร เป็นต้น ส่วนในตลาดหุ้นไทยนั้น VI โดยเฉพาะที่เป็น “รุ่นบุกเบิก” ส่วนมาก ผมเชื่อว่าคงกินยาเม็ดสีแดงตอนเข้าตลาดหุ้นอย่างน้อย 20 ปีที่ผ่านมา ที่ผมคิดว่าถึงวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงความคิดและแนวทางแบบ VI แม้ว่าจะประสบกับอุปสรรคในการลงทุนในช่วงหลัง ๆ นี้
ยาเม็ดสีแดงที่ผมกินตั้งแต่หลังวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 นั้นก็คือ การศึกษาหลักการลงทุนแบบ VI อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะหลักการของบัฟเฟตต์ที่เพิ่งเริ่มมีคนเขียน อย่างเช่น เรื่อง The Intelligent Investor ของเบน เกรแฮม The Warren Buffett Way ของ Robert G Hagstrom รวมถึง Buffettology ของแมรี บัฟเฟตต์ เป็นต้น
ผมเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นและการลงทุน เริ่มวางแผนการเงินและเส้นทางสู่ความมั่งคั่ง ผมยังจำได้ว่าผมตั้งความหวังที่จะมีเงิน “พันล้านบาทก่อนตาย” โดยที่ผมสามารถที่จะลงทุนจนถึงอายุ 80 ปี แนวคิดว่าผมมี “ตะเกียง 3 ดวง” ที่ผมจะต้องจัดการและดูแล ซึ่งก็คือ 1) เงินต้นที่มีอยู่ในตอนนั้น ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร 2) ผลตอบแทนการลงทุนที่ผมจะสามารถทำได้ต่อปีแบบทบต้น ซึ่งผมวางไว้ว่าสูงถึง 15% และ 3) ผมจะต้องมีชีวิตอยู่ให้ถึง 80 ปี ทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นในตอนนั้นซึ่งยังไม่เคยมีใครคิดหรือพูดถึงมาก่อน
สิ่งที่ผมคิดบนกระดาษในช่วงเวลานั้น ดูในทางทฤษฎีแล้วก็น่าจะทำได้ แต่ลึก ๆ แล้วผมก็ไม่เชื่อว่ามันจะเป็นจริงได้ เหตุผลสำคัญน่าจะอยู่ที่ Mentality หรือความคิดที่ติดตัวผมตั้งแต่เกิดที่ว่า “เราเป็นคนจน” ถึงแม้จะพยายามแค่ไหนก็คงทำได้แค่ระดับหนึ่ง ไม่สามารถไปเทียบกับ “คนรวย” ที่เป็นคนจ้างเราทำงานและจ่ายเงินเดือนให้เรามาตลอด ถ้าจะพูดไป ผม “เจียมตัว” มาตลอดชีวิต การที่จะมีเงินพันล้านบาทในช่วงปี 2542-2543 นั้นคือคนที่แทบจะเรียกว่าเป็น “มหาเศรษฐี”
แต่ในตอนนั้น ตัวเลขจากการคำนวณบอกว่าถ้าผมรักษาเงินต้นและเพิ่มพูนมันขึ้นไปโดยการทำงานไปเรื่อย ๆ และไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และลงทุนแบบที่ผมเชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมในระยะยาวซึ่งก็คือการลงทุนในแบบ VI อย่างมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง และผมรักษาสุขภาพไม่ให้เจ็บหรือตายก่อน 80 ปี ซึ่งผมคิดว่าทำได้ ผมก็จะต้องรวยเป็น “มหาเศรษฐี” ทั้ง ๆ ที่มีเงินเพียงหลักสิบล้านบาทในวันเริ่มต้น
หลังจากเวลาที่เริ่มกินยาเม็ดสีแดงในวันนั้นแล้ว ก็อย่างที่รู้ สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศและตลาดหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปมาก ในช่วงเกือบ 20 ปีแรก กลายเป็น “ยุคทอง” ของการลงทุน ผลตอบแทนการลงทุนของผมดีมาก แทบจะเรียกว่า “ระดับโลก” เป้าหมายความมั่งคั่งที่เคยคิดว่า “เป็นไปไม่ได้” สามารถบรรลุไปอย่างรวดเร็ว แต่นั่นอาจจะไม่ใช่เพราะความสามารถที่เหนือชั้น เพราะนักลงทุนคนอื่นจำนวนมากรวมถึงคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เรียกตัวเองว่า “VI” ตาม “กระแส VI” ที่กำลังโด่งดัง กลับ “ดีกว่า” และทำให้เกิด “เศรษฐีพันล้าน” เกลื่อนตลาด
แต่แล้ว ในช่วง 10 ปีหลังนี้ ดูเหมือนว่าสิ่งต่าง ๆ เริ่มเปลี่ยนไปอีก แต่ในทางที่แย่ลง ตลาดหุ้นย่ำแย่มายาวนานเป็น 10 ปี หลักการและวิธีการลงทุนแบบ VI เริ่มใช้ไม่ได้ผล นักลงทุนจำนวนมากที่เคยรวยมาก เดี๋ยวนี้รวยน้อยลงไปมาก บางคนกลายเป็นคนเคยรวย ผลตอบแทนที่ลดลงในตลาดหุ้นไทยอาจจะทำให้หลายคนเปลี่ยนแนวการลงทุนหรือเลิกไปเลย จำนวนมากหันไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งก็อาจจะเลิกความคิดแบบ VI ไปด้วย เนื่องจากไม่สามารถหาหุ้นที่เข้าเกณฑ์ได้ หลายคนกลับไปใช้เทคนิคเดิมที่คุ้นเคย
ผมเองก็ต้องปรับตัว พยายามลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากแต่ก็ยังเลือกไม่ค่อยได้เนื่องจากความรู้ในตัวหุ้นจำกัด บางครั้งผมก็คิดว่าเราอาจจะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการลงทุนให้เข้ากับสถานการณ์ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ เพราะผมกินยาเม็ดสีแดงไปแล้ว ผมไม่สามารถกลับไปเป็นอย่างเดิมได้ ตอนนี้ก็เลยเก็บแต่เงินสดไปเรื่อย ๆ คงจะรอจนกว่าหุ้นจะเข้าข่ายเป็น VI คือคุณภาพดี ราคาถูก ถึงจะซื้อ