เวลาเหลือเพียงแค่ไม่กี่นาที ถ้าเกมนี้พวกเขาพ่ายแพ้อีกจริงอยู่ที่ระยะห่างระหว่างอาร์เซนอลกับลิเวอร์พูลยังคงหยุดอยู่ที่ 5 แต้มเท่าเดิม ซึ่งไม่ได้มากและไม่ได้น้อยเกินไปก็จริง
แต่สิ่งที่มิเคล อาร์เตตาและลูกทีมจะต้องเผชิญคือคำถามมากมายที่จะถูกโยนเข้าใส่อย่างไม่หยุดหย่อน ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามากหรือน้อยมันก็บั่นทอนหัวใจทั้งนั้น
ในช่วงเวลาที่หัวใจถูกบีบ เพราะบุกเท่าไรก็ไม่สำเร็จสักทีนั้น อาร์เซนอลสามารถพลิกสถานการณ์จากการตามหลังนิวคาสเซิล กลับมาแซงเอาชนะได้ 2-1 ในช่วงเวลาที่คนเรียกว่า ‘นาทีบาป’ โดยทั้ง 2 ประตูมาจากการเล่นลูกเซตเพลย์ที่เป็นอาวุธหนัก
ประตูของมิเกล เมริโน ปลุกความหวังให้กลับมา
และประตูของกาเบรียล มาร์กัลเญส เป็นการตอบคำถามกับทุกคน “กันเนอร์ส” ไม่ยอมยกธงตั้งแต่ยังไม่ครบ 10 นัดแรก
แน่นอนว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ใช่การตัดสินใจของนายใหญ่อย่างอาร์เตตา ที่ปลดล็อกความรู้สึกบางอย่างไม่ใช่แค่กับลูกทีม แต่รวมถึงตัวของเขาเองด้วย
ก่อนที่เกมพรีเมียร์ลีกสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจะเริ่มต้นขึ้น หนึ่งใน Talking points หรือประเด็นสนทนาที่น่าค้นหาคำตอบไปด้วยกันคือระยะห่างระหว่างลิเวอร์พูลกับอาร์เซนอล เมื่อจบ Matchweek 6 จะอยู่ที่เท่าไร?
จากเดิมก่อนเตะที่ 5 แต้ม จะห่างไปไกลเป็น 8 แต้มหรือไม่หากทีมของอาร์เนอ สลอตบุกไปเอาชนะคริสตัล พาเลซ ได้ที่เซลเฮิร์สต์ ปาร์ค และทีมของมิเคล อาร์เตตา พลาดท่าเสียทีให้กับนิวคาสเซิล ทีมตัวแสบที่เซนต์ เจมเซส ปาร์ค
ที่พูดกันเช่นนี้เพราะฟอร์มของลิเวอร์พูล ถึงจะไม่ได้ยอดเยี่ยมมากเพราะมีการเปลี่ยนแปลงทีมในจุดสำคัญหลายจุด แต่แชมป์เก่ายังดีพอที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ยากลำบากได้ทุกนัด โดยเฉพาะการทำประตูในช่วงท้ายเกมที่แทบจะเป็นเอกลักษณ์ประจำทีม (แม้ว่ามันไม่ควรจะเป็นแบบนั้นเลยก็ตาม)
ตรงข้ามกับอาร์เซนอลที่ในฤดูกาลนี้ถูกตั้งคำถามหนักยิ่งกว่าที่ผ่านมา โดยเฉพาะกับการตัดสินใจของผู้กุมอำนาจการตัดสินใจอย่างอาร์เตตาที่ถูกมองว่า ‘ไม่กล้า’ ที่จะเสี่ยงเดิมพัน
เรื่องนี้ไม่ได้สะท้อนผ่านการจัดทีมลงสนามของเขาในบางนัด ซึ่งรวมถึงเกมที่พบกับแมนเชสเตอร์ ซิตี ที่เอมิเรตส์ สเตเดียม ด้วยการส่งกองกลางที่ถูกมองว่าเป็นประเภท ‘ตัวรับ’ ลงสนามพร้อมกันถึง 3 คนในรายของ เดแคลน ไรซ์, มาร์ติน ซูบิเมนดี และมิเกล เมริโน (แม้ว่าทั้ง 3 จะไม่ได้เป็น Defensive midfielder จริงๆก็ตาม)
ทั้งๆ ที่ลงทุนซื้อ เอเรเบชี เอเซ หนึ่งในตัวทำเกมที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีกมาจากคริสตัล พาเลซ
ในเกมนั้นแม้ว่าอาร์เซนอลจะรอดตัวมาได้ด้วยการไล่ตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจากการหลุดเข้าไปยิงของกาเบรียล มาร์ติเนลลี – ซึ่งก็ได้บอลจากการเปิดด้วยน้ำหนักและทิศทางที่สมบูรณ์แบบจากเอเซ ซึ่งถูกเปลี่ยนตัวลงมาเหมือนกัน – แต่การที่อาร์เตตา เลือกจะ ‘เพลย์เซฟ’ ไปเสียแทบจะทุกอย่างทำให้เขาถูกค่อนแคะและตั้งคำถามมากมาย
ไม่ว่าเจ้าตัวจะพยายามอธิบายอย่างไรว่าจะมีสักกี่ทีมในโลกที่สามารถ ‘กด’ ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอลา ผู้เป็นครู ได้ขนาดนี้?
แต่ก็ไม่มีใครสนใจอยากจะฟังแล้ว
คำพูดมากมายที่ไม่มีใครอยากฟังมันอาจทำให้อาร์เตตาฉุกคิด
ผ่านเกมลีกคัพที่อาร์เซนอลเอาชนะพอร์ตเวลมาได้อย่างไม่ยากลำบากนักด้วยทีมชุดสำรอง ผสมกับความปราชัยแบบเจ็บปวดของลิเวอร์พูล ที่คราวนี้ตกเป็นเหยื่อ “นาทีบาป” เสียเองเมื่อถูกคริสตัล พาเลซ เล่นงานในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 6 ซึ่งหมายถึงโอกาสที่พวกเขาจะขยับเข้าใกล้ได้ ทำให้กุนซือเชื้อสายบาสก์ตัดสินใจบางอย่าง
เพราะแม้จะเป็นเกมเยือนทีมที่แข็งสุดๆในบ้านอย่างนิวคาสเซิล ที่เล่นงานพวกเขามานักต่อนัก แต่เกมนี้อาร์เตตากลับตัดสินใจที่จะไม่ดึง ‘เบรกมือ’ ของทีมด้วยการใช้มิดฟิลด์ตัวรับลงกันเต็มอีก แต่เลือกใช้ตัวทำเกมอย่าง เอเซ มาคอยสร้างสรรค์อยู่ด้านหลังของแนวรุก เลอันโดร ทรอสซาด์, วิคเตอร์ ยอเคอเรส และบูกาโย ซากา
การตัดสินใจครั้งนี้สำคัญมากกว่าแค่ในเชิงของแท็กติก
มันเป็นการตัดสินใจที่ส่งผลในเชิงของจิตวิทยาด้วย ว่าอาร์เซนอลพร้อมที่จะเดินเกมใส่นิวคาสเซิลอย่างเต็มที่ เป้าหมายอยู่ที่ชัยชนะเท่านั้น
ดังนั้นแม้ในระหว่างเกมจะเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ไม่เพียงแต่โดนปฏิเสธลูกจุดโทษของยอเคอเรส (ที่โดยส่วนตัวเห็นว่าเป็นการทำฟาวล์ของนิค โป๊ปชัดเจน) ยังถูกนิวคาสเซิลฉวยโอกาสทำประตูนำไปก่อนจากการโหม่งของนิค โวลเทอมาเดอ
ไปจนถึงการเจอกับเกมหนักไล่อัด ไล่บด จนถึงการตั้งโซนรับเป็นกำแพงสีขาวดำจากลูกทีมของเอ็ดดี ฮาว ซึ่งต้องปรบมือให้ถึงวินัยและการฝึกซ้อมที่ต้องดีเยี่ยมเท่านั้นทีมจึงเล่นกันได้แบบ well-organised ขนาดนี้ และต่อให้ผ่านแนวรับไปได้ นายทวารของพวกเขาก็ไม่ยอมให้บอลผ่านมือข้ามเส้นไปได้อยู่ดี
แต่ยามลำบากแบบนี้กลับเป็นจังหวะและโอกาสให้นักเตะอาร์เซนอลทุกคนรวมถึงตัวของอาร์เตตาด้วย
ได้เติบโตและเรียนรู้ชีวิตผ่านหลักสูตรที่เข้มข้น
การพยายามแก้เกมเพื่อเอาชนะโซนของนิวคาสเซิลที่ตรึงกำลังแน่นหนา ไม่สามารถทำได้เพียงแค่บนกระดานแท็คติกอย่างเดียว แต่มันต้องอาศัยเรื่องของหัวจิตหัวใจด้วย
อาร์เตตานั้นทำดีที่สุดแล้วในส่วนของเขาด้วยการเลือกจะเดิมพัน ถอดตัวรับ ส่งตัวรุกลงมาเท่าที่มี ไม่ว่าจะเป็นมาร์ติเนลลี, เมริโน (ผู้เริ่มชื่นชอบบทกองหน้าที่ไม่ใช่กองหน้า) รวมถึงกัปตันทีมอย่างมาร์ติน โอเดอการ์ด ที่มีส่วนสำคัญ
นอกจากนี้คือการกำชับให้ทีมพยายามเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น ไม่จำเป็นต้องเน้นความแน่นอนให้มากเกินไป ไม่ต้องชัวร์ทุกจังหวะ แต่ต้องเล่นเสี่ยงขึ้น ท้าทายเกมรับของนิวคาสเซิลให้มากขึ้น อยากได้รางวัลใหญ่ยืนมองอย่างเดียวไม่ได้ ต้องพยายามเท่านั้นถึงจะได้มา
สิ่งที่เราได้เห็นคือยิ่งเล่น อาร์เซนอลก็ยิ่งกดนิวคาสเซิลจนโงหัวไม่ขึ้น
ทีมที่รับได้เป๊ะโดนบดหนักๆแข้งขาก็อ่อน รวมกับการเสียติโน ลิวราเมนโต ตัวริมเส้นสารพัดประโยชน์ยังกระทบต่อองค์ประกอบของทีมในช่วงท้าย
สุดท้ายนิวคาสเซิลก็พัง พวกเขาโดนย้อนเกล็ดด้วยลูกเตะมุมสั้นที่ไรซ์เปิดให้เมริโน โหม่งในจุดใกล้เคียงกับที่โวลเทอร์มาเดอ โขกทำประตูนำในช่วงครึ่งแรก ก่อนที่จะเป็นเกมที่ 2 ที่อาร์เซนอลมายิงประตูในนาทีบาป ซึ่งก็มาจากลูกสูตรเตะมุมที่เปิดมากลางประตู โป๊ป ถูกวิลเลียม ซาลิบา เกะกะจนออกมาชกบอลไม่ทัน บอลเข้าหัวกาเบรียล – ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่กี่นาทีเกือบทำให้ทีมเสียจุดโทษ – โขกพังประตูชัยเข้าไป
จริงอยู่ที่ชัยชนะเกมนี้มีความหมายเท่ากับ 3 คะแนนไม่ต่างจากนัดอื่น
แต่ด้วยวิธีการที่ทำให้ได้มา ด้วยสถานการณ์พลิกผันจากที่เกือบจะเพลี่ยงพล้ำที่จะทำให้หมดไฟ และความหอมหวานของชัยชนะในช่วงท้ายเกม ซึ่งเป็นสิ่งที่พูดกันว่าเป็น ‘คุณสมบัติของแชมป์’
ชัยชนะครั้งนี้สำหรับอาร์เซนอลจึงมีความหมายอย่างมาก และอาจเป็นครั้งแรกจริงๆที่พวกเขาทำให้เราหลายคนเริ่มรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในทีมกันเนอร์สชุดนี้
พวกเขากำลังเติบโตขึ้นไปอีกขั้น แกร่งขึ้นอีกขั้น และในเวลานี้รู้แล้วว่าหากต้องการชัยชนะในแต่ละเกมไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอต้องทำอย่างไร
สิ่งที่ดีที่สุดอีกอย่างคือการที่อาร์เซนอลรู้ตัวแล้วว่าพวกเขามีขีดความสามารถและศักยภาพที่จะทำแบบนั้นได้
ขออย่างเดียว อย่าฉุดรั้งตัวเองไว้ด้วยความไม่แน่ใจก็พอฟ