เพราะคลิปวิดีโอฟุตบอลความยาวไม่กี่นาทีนั้นทำให้ความทรงจำย้อนกลับมา
“เราเชียร์เอซี มิลาน” คำตอบของอุกฤษฏ์ หรือแก๊ป (บ้านอยู่บางอ้อ) เพื่อนวัยเด็กที่ชื่นชอบ มอส ปฏิภาณ (หรือ เต๋า สมชาย นี่แหละ) บอกกับเพื่อนที่อยากรู้ว่าเชียร์ทีมอะไรกันแน่ ทำให้กลุ่มเพื่อนทุกคนประหลาดใจ เพราะในเวลานั้นคิดว่าคำตอบคงไม่หนีไปจากลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
“รู้จัก เปาโล มัลดินี หรือเปล่า?” เขาถามกลับ
ด้วยความรู้ทางเกมลูกหนังที่ยังไม่มากในเวลานั้น ผมไม่รู้จักชื่อนักฟุตบอลที่เขาพูดเลย นักฟุตบอลอิตาลีที่รู้จักตอนนั้นมีเพียงแค่ โรแบร์โต บักโจ เทพบุตรเปียทองคำ นักเตะขวัญใจของคนทั้งโลก กับ อัตติลิโอ ลอมบาร์โด ปีกป๊อปอายของทีมซามพ์โดเรียที่เคยมาเยือนเมืองไทยเมื่อไม่กี่ปีก่อน
“นี่แหละกองหลังที่เก่งที่สุด แล้วก็เท่ที่สุดด้วย”
ผมฟังในเวลานั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก กองหลังเนี่ยนะจะมาเท่กว่ากองหน้าได้อย่างไร?
คำแนะนำของแก๊ป ณ บางอ้อ ทำให้ผมเริ่มสนใจเกมฟุตบอลอิตาลีมากขึ้น ค่อยๆ ทำความรู้จักกัลโชเซเรียอาทีละน้อยผ่านคอลัมน์ฟุตบอลอิตาลีในหนังสือพิมพ์สตาร์ซอคเก้อร์รายวันที่ซื้อจากแผงหนังสือพิมพ์ใกล้โรงเรียนทุกวัน
เรื่องราวของฟุตบอลอิตาลีในเวลานั้นได้รับการถ่ายทอดโดยสองคอลัมนิสต์ระดับปรมาจารย์ลูกหนังเมืองรองเท้าบู๊ตอย่างนพนันท์และเปสเช่
ในเวลานั้นเซเรียอาเต็มไปด้วยนักเตะสตาร์ระดับนามอุโฆษมากมาย แต่น่าแปลกใจที่เรื่องราวของมัลดินีก็มีให้ได้พบเห็นและผ่านตาเหมือนกัน ซึ่งแปลว่าเขาก็เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลระดับสตาร์ของลีก และเป็นนักฟุตบอลที่มีแฟนติดตามอยู่ไม่ใช่น้อย
แต่การฟังคนอื่นเล่าด้วยตัวหนังสือก็ไม่เท่ากับการได้เห็นด้วยตาของตัวเอง
ฟุตบอลกัลโชในยุคนั้นหาดูไม่ได้ง่ายเหมือนฟุตบอลอังกฤษ แต่ก็พอมีให้ได้ติดตามกันทุกสัปดาห์ ผมจำไม่ได้แล้วว่าเกมแรกที่ได้เห็นเอซี มิลาน ลงสนามแบบเต็มๆ นั้นเป็นเกมไหน แต่ที่จำได้คือฟอร์มการเล่นของกองหลังอย่าง เปาโล มัลดินี แบ็กซ้ายของทีมรอสโซเนรี หรือที่คนไทยเรียกกันเท่ๆ ว่า ‘ปีศาจแดงดำ’
มัลดินีเป็นกองหลังที่เล่นน้อยแต่มาก ที่สำคัญคือยากที่จะผ่านเขาไปได้
จริงอยู่ที่ในยุคนั้นมิลานมีแผงแบ็กโฟร์ที่โหดหินที่สุดในโลก นำโดยผู้อาวุโสอย่าง ฟรังโก บาเรซี อีกหนึ่งกองหลังที่ได้รับการยกย่องว่าเก่งกาจที่สุดตลอดกาล นอกจากนี้ยังมี อเลสซานโดร หรือ ‘บิลลี’ คอสตาร์คูตา, เมาโร ทัสซอตติ, คริสเตียน ปานุชชี หรือ มาร์กแซล เดอไซญี ซึ่งแน่นอนว่าใครก็ยากจะผ่านไปได้ ต่อให้เป็นโคตรกองหน้ามาจากไหนก็ตาม
แต่คนที่เด่นกว่าใครในเวลานั้นคือมัลดินี ที่มีความเชื่อกันว่าไม่ว่าจะเจอปีกหรือกองหน้าที่เก่งขนาดไหนก็ไม่ใช่ปัญหา
จุดเด่นของมัลดินีคือการที่เขามีคุณสมบัติของกองหลังที่ดีทุกอย่างเท่าที่นักฟุตบอลในตำแหน่งนี้ต้องการ
รูปร่างที่สูงใหญ่ มีความกำยำแข็งแกร่ง มีความเร็วพอสมควร ที่สำคัญคือการอ่านเกม ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากของกองหลังในเวลานั้น
ไม่นับความได้เปรียบเล็กๆ อย่างการที่เป็นแบ็กซ้ายแต่ถนัดเท้าขวา ซึ่งเป็นของหายากในยุคนั้น การถนัดเท้าขวานั้นทำให้การอ่านทางของมัลดินีที่จะต้องดวลกับปีกขวาคู่แข่งง่ายขึ้น
ถึงจะดูเรียบนิ่ง แต่ถ้าถึงเวลา มัลดินีกล้าที่จะเข้าสกัดอย่างหนักหน่วง และที่สำคัญคือการสกัดเป็นไปอย่างแม่นยำด้วย เพียงแต่การเข้าสกัดสำหรับมัลดินีแล้วนับเป็นความผิดพลาด เพราะถ้าเขาอ่านทางได้ขาดพอจะไม่ต้องพุ่งเข้าเสียบคู่แข่งเลย
เรื่องนี้คือสิ่งที่ผู้รู้ในวงการฟุตบอลยกย่องมัลดินีมากที่สุดคือเรื่องการบรรลุ ‘ศิลปะของศาสตร์การเล่นเกมรับ’ (The Art of Defending) ซึ่งมีน้อยคนจะเข้าใจ และเขาเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดอีกคนหนึ่งถัดจากรุ่นพี่อย่างบาเรซี
ครั้งหนึ่ง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยออกปากชมมัลดินีที่อยู่ในช่วงบั้นปลายของชีวิตการเล่น หลังได้ดูเกมแชมเปียนส์ลีกที่เอซี มิลาน พบกับบาเยิร์น มิวนิก ในปี 2007
“มัลดินีลงแข่ง 90 นาทีโดยไม่ได้เข้าสกัดเลย สิ่งนี้คือศิลปะและเขาคือปรมาจารย์ของเรื่องนี้”
ในความเก่งกาจนี้ทำให้มีหลายคนเข้าใจผิดในตัวของมัลดินีไป
“ก็นี่กองหลังพรสวรค์” ไม่ต้องทำอะไรแค่เกิดมาก็เก่งแล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ชวนให้เข้าใจไปแบบนั้นได้เมื่อคิดถึงการที่เขาเป็นสายเลือดของ เซซาเร มัลดินี พ่อผู้เป็นสุดยอดนักเตะเช่นเดียวกัน และสามารถแจ้งเกิดในทีมเอซี มิลาน ได้ตั้งแต่อายุเพียงแค่ 16 ปี โดยลงเล่นเคียงข้างกับบาเรซี คอสตาคูร์ตา และทัสซอตติ ได้แบบไม่เคอะเขิน
แต่ในความเป็นจริงแล้วมัลดินีไม่ได้เป็นกองหลังพรสวรรค์
เขาเป็นแค่กองหลังคนหนึ่งที่พยายาม
สิ่งที่ได้มาสำหรับมัลดินีไม่มีทางลัดใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงแค่ความพยายามอย่างเดียวเท่านั้น ไม่เฉพาะเรื่องของการฝึกฝนเทคนิควิธีการเล่น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสกัดบอล การควบคุมบอล การผ่านบอล หรือแม้แต่การพาบอลขึ้นหน้ามาอย่างสง่างาม
เพราะเขาต้องเล่นแบ็กซ้ายแต่ถนัดขวา มัลดินีฝึกการใช้เท้าซ้ายของเขาอย่างไม่ย่อท้อ จนสุดท้ายก็สามารถใช้การได้ดีไม่แพ้เท้าถนัดอย่างเท้าขวา
ยามว่างมัลดินีศึกษาคู่แข่งผ่านเทปการแข่งขัน วิเคราะห์แผนการเล่นและแท็กติกของคู่ต่อสู้ในยุคสมัยที่เรายังไม่รู้จำคำว่า Data Analysis เลยด้วยซ้ำ
ในยุคที่เกมฟุตบอลยังไม่มีเรื่องของโภชนาการและวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาเกี่ยวข้อง มัลดินีเป็นหนึ่งในนักเตะไม่กี่คนที่ดูแลสภาพร่างกายอย่างจริงจัง มีวินัยในการทำอย่างสม่ำเสมอ ทำให้สภาพร่างกายของเขาแข็งแกร่งและอายุการเล่นยืนยาว
อย่างไรก็ดี ไม่ว่ามัลดินีจะเก่งกาจสักแค่ไหน สิ่งที่ทำให้เขาเป็นที่รักและได้รับการยอมรับจากทั้งแฟนฟุตบอลและเพื่อนพ้องในวงการ คือการเป็นแบบอย่างที่ดีในทุกด้าน
มัลดินีเป็นผู้นำทีมในความฝันของทุกสโมสร สงบ นิ่ง มีเหตุมีผล ทำมากกว่าพูด แต่หากถึงเวลาต้องพูดคำพูดก็จะเป็นคำแนะนำที่มีประโยชน์
ที่สำคัญคือความรักและภักดีต่อแฟนฟุตบอลและสโมสร
ตลอดชีวิตการเล่นที่ยาวนานถึง 25 ปี ด้วยจำนวนการลงสนามถึง 902 นัด สถิติที่ไม่มีใครทำลายได้ ก่อนจะตัดสินใจแขวนสตั๊ดอำลาวงการหลังจบฤดูกาล 2008/09 ด้วยวัย 39 ปี มัลดินีรับใช้เอซี มิลาน เพียงแค่ทีมเดียวเท่านั้น อยู่เคียงข้างทีมมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นยุครุ่งเรืองหรือในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
ครั้งเดียวที่มัลดินีคิดจะตีจากมิลานเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อน 1996 เมื่อ จิอันลูกา วิอัลลี อดีตศูนย์หน้าที่เคยเล่นทั้งเคียงข้างและดวลกันในเกมฟุตบอลอิตาลี เอ่ยปากชักชวนให้ย้ายมาอยู่ด้วยกันในพรีเมียร์ลีกกับเชลซี ซึ่ง ‘ลูกา’ เพิ่งจะรับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่
ในช่วงนั้นมัลดินีโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากสื่ออิตาลีจนคิดน้อยใจขึ้นมา
แต่เมื่อถามหัวใจตัวเองแล้ว มัลดินีคิดว่าที่เดียวของเขาบนโลกใบนี้ก็คือมิลาน ที่ซานซิโรและมิลาเนลโล
มิลานของโลกทั้งใบของเขา
“นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ผมคิดจะไป”
มัลดินีปฏิเสธคำชวนของวิอัลลีอย่างสุภาพ ก้มหน้าก้มตาทุ่มเทในการเล่นให้กับมิลาน รับช่วงปลอกแขนกัปตันทีมต่อจากบาเรซีผู้ยิ่งใหญ่ และอยู่กับทีมเดียวตลอดไป
ไม่มีเรื่องโรแมนติกลูกหนังเรื่องไหนจะงดงามเท่านี้อีกแล้ว
เขียนถึงตรงนี้ ผมพยายามค้นหารายชื่อของแก๊ปในลิสต์เพื่อน แต่น่าแปลกใจที่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ
ผมแค่อยากบอกเขาว่า ผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงเชียร์มิลานในวันนั้น