×

รัฐบาลควรหนุน Tokenization หลังทรัมป์ตั้งกองทุนสำรองบิทคอยน์

12.03.2025
  • LOADING...

คำสั่งจัดตั้งกองทุนสำรองบิทคอยน์ของประธานาธิบดีทรัมป์ช่วยการันตี-สนับสนุนการเงินดิจิทัล ถือเป็นสัญญาณบวกต่อตลาดคริปโตทั่วโลก แนะรัฐบาลไทยหันมาสนใจกระบวนการแปลงสินทรัพย์สู่รูปแบบดิจิทัล ช่วยลดต้นทุน-อำนวยความสะดวกทำธุรกรรม ปัจจุบันเอกชน-หน่วยงานพร้อมแล้ว เหลือแค่สัญญาณเชิงบวกจากรัฐ

 

ศ. ดร.อาณัติ ลีมัคเดช คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ลงนามในคำสั่งจัดตั้งกองทุนสำรองบิทคอยน์ทางยุทธศาสตร์ หรือ Strategic Bitcoin Reserve Fund และประกาศแผนผลักดันให้สหรัฐฯ กลายเป็น ‘ศูนย์กลางคริปโตของโลก’ ตอนหนึ่งว่า สิ่งที่ชัดเจนและสำคัญจากการจัดตั้ง Strategic Bitcoin Reserve Fund ของสหรัฐฯ คือส่งสัญญาณถึงการยอมรับและส่งเสริมระบบการเงินดิจิทัล คริปโต เทคโนโลยีบล็อกเชน และนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะตามมาอีกมาก

 

ศ. ดร.อาณัติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาภูมิรัฐศาสตร์ของโลกเกิดความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก โดยอำนาจของสหรัฐฯ เริ่มถูกสั่นคลอน เช่นเดียวกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในฐานะเงินสกุลหลักของโลกก็เกิดความท้าทาย

 

นอกจากนี้ จุดเปลี่ยนหนึ่งที่สำคัญคือการเกิดประเด็นที่ว่า ในอนาคตเงินดอลลาร์สหรัฐอาจไม่ถูกใช้ในการซื้อขายน้ำมันทั่วโลก นั่นจึงกลายเป็นความสำคัญเร่งด่วนที่สหรัฐฯ จำเป็นต้องรื้อฟื้นความเชื่อมั่นต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐขึ้นมา ซึ่งการจัดตั้ง Strategic Bitcoin Reserve Fund แม้จะมีส่วนช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในค่าเงินสหรัฐฯ ไม่มากนัก แต่จะส่งผลกระทบสำคัญในความเชื่อมั่นทิศทางการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินด้วยเทคโนโลยี Blockchain ให้กับสหรัฐฯ

 

“เมื่อทรัมป์เข้าสู่ตำแหน่งจึงมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาเรื้อรังมานาน อย่างการขาดดุลการค้า หรือปัญหาเงินเฟ้อ การต่อสายไปคุยกับมกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบียเพื่อฟื้นความสัมพันธ์ ทั้งหมดถือเป็นการเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ” ศ. ดร.อาณัติ กล่าว

 

ศ. ดร.อาณัติ กล่าวต่อไปว่า เมื่อกลับมาดูท่าทีของทรัมป์จะพบว่าไม่ใช่คนที่สนับสนุนคริปโตมาตั้งแต่ต้น แต่ภายหลังเมื่อได้เห็นภาพว่าคริปโตไม่ใช่เพียงการเก็งกำไร แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างนวัตกรรมทางการเงิน และหัวใจการค้าของสหรัฐฯ คือความเป็นศูนย์กลางทางการเงิน ทรัมป์จึงหันกลับมาสนับสนุนคริปโต และเมื่อมาเป็นประธานาธิบดีก็ได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาอย่างน้อย 2 คณะ เพื่อสนับสนุนการใช้ AI และคริปโต รวมถึงการมีประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐฯ คนใหม่ จากคนเดิมที่ออกแนวต่อต้านกลายมาเป็นคนที่สนับสนุนคริปโต

 

ผนวกกับการส่งสัญญาณแรงว่าจะมีการถอนฟ้องคดีต่างๆ ที่ค้างคาระหว่าง ก.ล.ต.สหรัฐฯ กับตลาดแลกเปลี่ยนคริปโตรายใหญ่ ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลในทางบวกให้กับตลาดคริปโตทั่วโลก

 

“เราจึงได้เห็นว่าในช่วงที่ทรัมป์ขึ้นมาเป็นผู้นำ ราคาบิทคอยน์กระโดดขึ้นพรวดพราด รวมถึงหุ้นของบริษัทต่างๆ ที่ลงทุนในคริปโต แม้ช่วงนี้จะมีกระแสที่เริ่มดรอปลง ราคาดิ่งลง อะไรต่างๆ มองว่าเป็นเพราะที่ผ่านมาตลาดเกิด Overreact ขึ้นไปจนสูงแล้วลดลง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของตลาดที่ตอบรับกับข่าวดี แต่เชื่อว่าสิ่งที่สำคัญคือการส่งสัญญาณชัดเจน ว่าอย่างน้อยในช่วงที่ทรัมป์อยู่ในตำแหน่ง การซื้อ-ขายคริปโตจะไม่ได้ถูกมองแบบจ้องจับผิด แต่จะจ้องจับถูก เกิดความพยายามในการเสนอนโยบายที่เป็นการสร้างนวัตกรรมขึ้นมาแทน” ศ. ดร.อาณัติ กล่าว

 

ศ. ดร.อาณัติ กล่าวอีกว่า ดังนั้นเมื่อสหรัฐฯ มีการขยับตัวแรงเช่นนี้ ก็เป็นจุดน่าสนใจที่ประเทศต่างๆ จะกลับมามอง อย่างในส่วนของประเทศไทยเอง ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็เคยมีการศึกษาโครงการสกุลเงินดิจิทัล (CBDC) ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็เชื่อว่าการศึกษาอีกหลายอย่างจากหน่วยงานกำกับ ธนาคารกลาง ธนาคารพาณิชย์ โบรกเกอร์ ก.ล.ต. ฯลฯ ต่างมีแนวคิดการเตรียมตัวที่พร้อมไว้อยู่แล้ว

 

ฉะนั้นเมื่อใดที่รัฐบาลไทยมีความพร้อมหรือมีสัญญาณเชิงบวกต่อเรื่องนี้ ก็จะเข้าสู่กระบวนการที่เรียกว่า Tokenization หรือการแปลงสินทรัพย์ไปสู่รูปแบบดิจิทัล ได้มากขึ้น

 

“ตัวอย่างเช่น การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ปัจจุบันเรายัง T+2 คือต้องใช้เวลาในการดำเนินการ 2 วัน แต่เมื่อไรหากเราแปลงเงินบาทเข้าสู่ระบบดิจิทัลได้ มันจะกลายเป็น T+0 เพราะเงินกับหุ้นสามารถโอนไปแบบเรียลไทม์ได้ทันที ทั้งช่วยลดความเสี่ยงและลดต้นทุนที่จะเกิดขึ้นได้พร้อมกัน และหากเราขยายความคิดต่อ ไม่ได้ทำแค่หุ้น แต่ไปสู่พันธบัตร ทองคำ หรือแม้แต่กระบวนการภาครัฐก็ทำได้ อย่างการซื้อขายที่ดิน ต่อไปการโอนซื้อขายกันอาจไม่จำเป็นต้องไปสำนักงานที่ดินแล้ว แต่สแกนโอนจ่ายกันได้ทันทีเหมือนเวลาไปซื้อของในตลาด พวกนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะจะเป็นการลดต้นทุนและอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมได้อย่างมหาศาล” ศ. ดร.อาณัติ กล่าว

 

ศ. ดร.อาณัติ กล่าวสรุปว่า สัญญาณจากสหรัฐฯ นั้นจึงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และความเชื่อมั่นต่อเทคโนโลยี โดยกระบวนการ Tokenization อาจเป็นเพียงพื้นฐาน แต่การประยุกต์ใช้ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นผ่านระบบที่ไม่มีตัวกลาง หรือ Decentralized Finance (DeFi) คือสิ่งที่จะช่วยสร้างให้เกิดนวัตกรรมและช่องทางการเงินที่ตามมาอีกมากมาย หากต่อไปเมื่อนักธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่าย การเติบโตทางธุรกิจทำได้ง่ายขึ้น ก็จะส่งผลรวมไปถึงการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศด้วยเช่นกัน

 

ภาพ: Flavio Coelho / Getty Images

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising